“จักรยานกระดาษ” เติมไอเดีย เพิ่มมูลค่าธุรกิจ

นอกจากจักรยานกระดาษจะมีราคาถูกแล้ว ยังมีจุดเด่นเรื่องน้ำหนักเบาแค่ 9 กิโลกรัม ขณะที่จักรยานโลหะทั่วไปมีน้ำหนักเฉลี่ย 14 กิโลกรัม อีกทั้งไม่จำเป็นต้องปรับหรือซ่อมบำรุง เพราะส่วนล้อมาจากการนำยางรถยนต์เก่ามาทำใหม่ สามารถใช้งานได้นาน 10 ปี และไม่ต้องคอยเติมลม

ใครจะนึกว่า "กระดาษ" สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด วัสดุบอบบางและดูไม่คงทน อาจพาคุณไปไหนต่อไหนได้โดยไม่ต้องง้อใคร

    เพราะเจ้ากระดาษที่ว่านี้ คือ กระดาษลัง (cardboard) ที่ถูกใส่ไอเดียให้กลายเป็น "จักรยาน" ด้วยนักประดิษฐ์สมองใส "อิสฮาร์ กาฟนี" ชาวอิสราเอล วัย 50 ปี ที่คิดค้นวิธีทำให้กระดาษแข็งๆ กลายร่างเป็นพาหนะสองล้อ และเตรียมจะผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงธุรกิจ

    กาฟนี บอกว่า จักรยานที่ทำจากกระดาษลังเกือบทั้งคันนี้ มีศักยภาพมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนทั้งในเมืองที่คับคั่งที่สุดในโลก ไปจนถึงพื้นที่ยากจนที่สุดในแอฟริกา

    หลังจากที่ทดลองทำของเล่นจากกระดาษลังสำหรับลูกสาว ผ่านการลองผิดลองถูกจนมาถึงแบบล่าสุด กาฟนีเตรียมปล่อยของ โดยในอีกไม่กี่เดือนนี้ มีแผนจะผลิตจำนวนมากๆ เพื่อวางจำหน่ายแมส

  กาฟนี บอกว่า เขาหลงใหลที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแปลกๆ เข้ากับวัสดุต่างๆ แต่มีไม่กี่อย่างที่สามารถนำมาใช้ด้วยกันได้ และสำหรับโครงการนี้ เขาใช้เวลา 4 ปี เพื่อกำจัดจุดอ่อนเรื่องพื้นผิวลูกฟูกของกระดาษลัง

    เพราะแม้การทำกล่องจากกระดาษลังจะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย และอาจแข็งแรงทนทาน ใช้งานได้นานพอตัว แต่การจะนำกระดาษลังมาทำเป็นจักรยาน เป็นเรื่องยากแสนสาหัส ซึ่งในที่สุดกาฟนีก็ค้นพบวิธีที่จะพับกระดาษลังในทิศทางต่างๆ หลังจากทดลองและล้มเหลวมานับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้

    กระดาษลัง เป็นหนึ่งในวัสดุยอดฮิตที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์มากมาย แต่ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับการผลิตสิ่งของที่ต้องการความแข็งแรงทนทาน เพราะมีวัสดุประเภทโลหะให้เลือก การที่กาฟนีจะผลิตจักรยานจาก กระดาษจึงต้องอาศัยการขึ้นโครง ตัด รวมทั้งใส่เคล็ดลับที่จะทำให้กระดาษมีคุณสมบัติที่สามารถกันน้ำและไฟได้ด้วย จากนั้นค่อยทาสีและเคลือบเงาในขั้นตอนสุดท้าย

    ในการทดสอบความแข็งแรง ใช้การแช่จักรยานไว้ในแทงก์น้ำเป็นเวลาหลายเดือน และยังคงรักษาความแข็งแรงเอาไว้ได้ ขณะที่จักรยานไอเดียแปลกนี้ไม่ใช้ชิ้นส่วนจากโลหะ แม้แต่ระบบเบรก ล้อ และคันถีบ ก็จะมาจากวัสดุรีไซเคิล 

    กาฟนี ยอมรับว่า เขาเองก็ประหลาดใจที่รู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำจะแข็งแรงได้มากขนาดนี้ และถึงตอนนี้ก็พร้อมที่จะผลิตจักรยานกระดาษที่ไม่มีส่วนประกอบจากโลหะ

    กาฟนี เป็นนักจักรยานมือสมัครเล่น ซึ่งมีจักรยานรุ่นท็อปๆ อยู่บ้าง ซึ่งบางคันมีราคาสูงถึงหลักหลายพันดอลลาร์ แต่เมื่อเขาตั้งใจริเริ่มธุรกิจ เขามีแผนจะขายจักรยานกระดาษไม่เกินคันละ 20 ดอลลาร์ (ประมาณ 600 บาท) ในขณะที่ต้นทุนจากวัสดุที่ใช้น่าจะอยู่ที่ 9 ดอลลาร์ ต่อคัน

    สำหรับกระแสตอบรับก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะตอนเริ่มต้นโปรเจ็กต์นี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีแต่คนหัวเราะความคิดนี้ แต่ตอนนี้กาฟนีได้รับอีเมลอย่างน้อย 12 ฉบับในแต่ละวัน เพื่อถามว่าจะหาซื้อจักรยานกระดาษแบบนี้ได้ที่ไหน ทำให้เขามีความหวังว่าธุรกิจน่าจะไปได้ดี

ด้าน "นิมร็อด เอลมิช" หุ้นส่วนธุรกิจของกาฟนี มองว่า กระดาษลังและวัสดุรีไซเคิลอื่นๆ อาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนในการผลิตแบบเดิมๆ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการผลิตในท้องถิ่น และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดที่แรงงานมีราคาถูกในการผลิต

นี่จะกลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง วิธีการผลิตและจัดส่ง ทำให้โรงงานสามารถผลิตจักรยานได้ทุกๆ ที่ แทนที่จะต้องย้ายฐานผลิตไปยังตลาดที่มีค่าจ้างต่ำ ประกอบกับสายการผลิตแบบอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ก็จะเอื้อให้แรงงานกลุ่มที่เกษียณและพิการสามารถทำได้ รวมทั้งการใช้วัสดุแบบกรีนก็จะช่วยเรื่องต้นทุนการผลิต และมีเงินเหลือพอที่จะผลิตจักรยานให้กับคนยากจนได้

    การขายจักรยานกระดาษไม่ได้เน้นทำเงินมาก แต่พอให้ผู้ค้าปลีกได้มีกำไร สำหรับบริษัทจะหารายได้จากโฆษณา ซึ่งบริษัทข้ามชาติบางแห่งอาจยอมจ่ายเพื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลธุรกิจฉบับรักษ์โลก

    จักรยานกระดาษนี้จะเริ่มผลิตในอิสราเอลภายในเดือนนี้ และน่าจะพร้อมจำหน่ายภายใน 1 ปี โดยจะเริ่มจากจักรยาน 3 รุ่น และเก้าอี้รถเข็น ซึ่งจักรยาน 3 รุ่น ประกอบด้วย จักรยานสำหรับคนเมืองที่จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าติดอยู่ด้วย ต่อมาเป็นจักรยานสำหรับเด็กๆ ในแอฟริกาที่จะมีขนาดเล็กลงเหลือ 2 ใน 3 

    อีกรุ่นเป็นจักรยานสำหรับนักปั่นมือใหม่ ส่วนเก้าอี้รถเข็นเป็นผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มองค์กรไม่แสวงผลกำไรต้องการให้ช่วยผลิตสำหรับผู้ใช้ในแอฟริกา

    นอกจากจักรยานกระดาษจะมีราคาถูกแล้ว ยังมีจุดเด่นเรื่องน้ำหนักเบาแค่ 9 กิโลกรัม ขณะที่จักรยานโลหะทั่วไปมีน้ำหนักเฉลี่ย 14 กิโลกรัม อีกทั้งไม่จำเป็นต้องปรับหรือซ่อมบำรุง เพราะส่วนล้อมาจากการนำยางรถยนต์เก่ามาทำใหม่ สามารถใช้งานได้นาน 10 ปี และไม่ต้องคอยเติมลม เหล่านี้ทำให้ไม่ต้องปวดหัวกับการบำรุงรักษา

แถมเมื่อซื้อไปใช้งานแล้ว หากถึงเวลาพัง ก็สามารถส่งคืนโรงงานและรีไซเคิลได้อีก ไม่กลายเป็นขยะล้นโลก

ที่มา www.sentangsedtee.com