ดาบไทยในอดีตที่ผ่านมาถูกสร้างขึ้นมาร่วมกับศาสตราวุธอื่นๆ เช่น หอก ทวน หลาวฯลฯ เป็นต้นเพื่อใช้ในการรบป้องกันชาติบ้านเมืองจากศัตรูผู้รุกราน ใช้ในการรบเพื่อขยายอาณาเขตดินแดน กระทั่งใช้ในการรบเพื่อกอบกู้เอกราชของชาติ หรือมีไว้เพื่อป้องกันตัวเอง นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ลพบุรี อยุธยาเรื่อยมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ มีช่างตีดาบฝีมือดีเกิดขึ้นทุกยุคสมัย รูปแบบของดาบในแต่ละยุคจึงแตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือกองทัพเพื่อใช้ในการรบ และรองลงมาคือคนชาวบ้านทั่วไปที่มีไว้เพื่อป้องกันตัว
รูปทรงของดาบไทยเข้าใจว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากดาบจีน เพราะว่าดาบไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับดาบจีนมากกว่าดาบแขก คือเป็นดาบคมเดียวที่มีปลายโค้งเล็กน้อย ซึ่งการแบ่งชนิดของดาบนั้นใช้ลักษณะปลายดาบหรือที่เรียกว่า “หน้า” เป็นเกณฑ์ดังต่อไปนี้.
ดาบหน้าลูกไก่ –
ดาบหน้าลูกไก่จะมีลักษณะ หน้า หรือปลายดาบชี้ลง ดูคล้ายกับหน้าลูกไก่
ดาบหน้าบัว –
ดาบชนิดนี้จะมีลักษณะหัวดาบปลายโค้งขึ้นลงเล็กน้อย แต่จะมีสองคม เหมาะเอาไว้ในการฟันแบบตวัดเฉือน ซึ่งจะถูกใช้ในกรณีการฟันตัดตามข้อต่อสำคัญของศัตรู ดาบชนิดนี้นับเป็นดาบแบบโบราณที่สุดในหมู่ดาบไทย ซึ่งสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงยุคกรุงศรีอยุธยา
ดาบหน้าปลาหลด หรือดาบหน้าตัดโค้ง –
มีรูปร่างและหน้าที่ดูคล้ายกับดาบหน้าบัว โดยหน้าหรือหัวดาบนั้นจะเป็นลักษณะจำเพาะคือเป็นใบดาบสองคมเหมือนกัน ซึ่งดาบหน้าปลาหลดบางเล่มจะเป็นหัวกลมมนไปเลยก็มี โดยใช้ในการตวัด ตัดเฉือนข้อต่อสำคัญของร่างกายเหมือนกับดาบหน้าบัวนั่นเอง
ดาบหัวตัด –
ดาบชนิดนี้ไม่มีความแหลมคมที่หัวเลย ซึ่งก็จะเหมือนกับมีดพร้าอีโต้หรือปังตอที่ใช้ตามบ้านทั่วไปนั่นแหละ โดยเจ้าดาบหัวตัดนี้มักจะเป็นดาบที่มีขนาดใหญ่มีความยาวตั้งแต่ 3-4 ฟุต เพื่อการตัดอวัยวะโดยเฉพาะ
ดาบหัวตัดเฉียง –
มีลักษณะคล้ายกับดาบหัวตัด เพียงแต่ทำส่วนปลายให้เฉียงขึ้นเพื่อสามารถใช้ในการโถมแทงได้ด้วย
ดาบหน้าหัวแหลม –
หรือที่เรียกว่า “ดาบลาว” ดาบชนิดนี้มีส่วนปลายแหลมคมเดียว โดยมีประสิทธิภาพทั้งการแทงและฟัน ลักษณะดาบเช่นนี้มีอิทธิพลมาจากการสงครามระหว่างสยามกับลาวในสมัยตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และยังรวมถึงการที่ช่างดาบลำปางนำดาบลงมาขายยังพระนคร เป็นเหตุให้ช่างตีดาบในยุคหลังนิยมทำดาบแบบ “ดาบลาว” ที่สุด
ดาบหัวหยัก –
เป็นดาบคมเดียว มีส่วนหัวดาบที่หยักขึ้นเล็กน้อย สันนิษฐานว่าคงมีไว้ใช้ในการกระแทกใส่ร่างหรือเกราะของศัตรู ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลของรูปทรงมาจากดาบจีนดาบหัวบัวหรือหน้าบัว
ดาบหัวลูกไก่หรือ หน้าลูกไก่
ดาบหัวปลาหลด
สำหรับเรื่องของขนาดดาบไทยนั้นไม่มีความแน่นอนเสมอไป เพราะดาบไทยมักถูกสร้างขึ้นตามขนาดร่างกายของผู้ใช้เป็นหลัก โดยจะแบ่งออกเป็น
- ดาบยาว
- ดาบสั้น
- ดาบหลังม้า
ซึ่งวิธีการวัดขนาดก็จะมีหลักเกณฑ์ดังนี้ –
ดาบยาว - วัดจากปลายคางไปยังปลายนิ้วกลางขวา ถือว่าเป็นดาบที่ใช้ในการรบจริง ทั้งสำหรับพลราบและพลม้า ดาบยาวมักจะถูกสะพายคาดหลัง หรือไม่ก็เหน็บเอวเอาไว้อย่างดาบซามูไร
ดาบสั้น - วัดจากปลายคางไปยังข้อศอกขวา ดาบสั้นมักถือเป็นดาบเครื่องแสดงยศ มักถูกเก็บเอาไว้กับตัว ไม่ค่อยได้นำมาใช้ออกรบสักเท่ไหร่
ดาบหลังม้า - วัดจากบ่าซ้ายไปยังปลายนิ้วกลางขวา เป็นดาบที่ถูกใช้ในการรบบนหลังม้าโดยเฉพาะ โดยดาบหลังม้าจะถูกคาดไว้กับซองที่ข้างอานม้าดาบหลังม้า
นอกจากดาบไทยแท้ๆเหล่านี้แล้ว ยังมีหลักฐานยืนยันว่า ราชสำนักสยามของเรายังได้สั่งดาบซามูไรนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว อย่างเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ และดาบเครื่องยศประจำตำแหน่งขุนนางนั้น ยังปรากฏเป็นดาบซามูไรคร่ำทองด้วย ซึ่งปัจจุบันของจริงได้เก็บแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จ.สุโขทัย และนอกจากนี้พวกช่างดาบไทยในสมัยก่อนก็เลียนแบบวิธีการตีดาบและขึ้นทรงอย่างดาบญี่ปุ่นไปด้วย
กล่าวถึงดาบภาคกลางไปแล้ว มาถึงเรื่องของดาบภาคเหนือกันบ้าง โดยดาบภาคเหนือหรือดาบล้านนานั้นจะมีขนาดใหญ่และยาวกว่าดาบภาคกลาง เพราะความที่ล้านนาต้องทำศึกกับจีนและพม่ามานานหลายร้อยปี จึงทำให้ดาบล้านนามีรูปแบบค่อนไปทางดาบพม่าเสียมาก แต่กระนั้นก็ยังมีดาบล้านนาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ดาบง้าว” หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “ดาบเงี้ยว” เพราะความที่เป็นดาบของนักรบเงี้ยว(ไทยใหญ่)ซึ่งมีลักษณะเหมือนดาบจีนอย่างมากทีเดียว และจะมีความยาวได้ 3- 4 ฟุต
ดาบง้าว
ดาบล้านนา(ขอบคุณภาพจากคุณธงไชย พัวอุดมเจริญ)
ดาบอยุธยา(ขอบคุณภาพจากคุณธงไชย พัวอุดมเจริญ)
นอกจากดาบเงี้ยวหรือดาบไทยใหญ่แล้ว ยังมีดาบขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ดาบบนหลังช้าง” (บางตำราเรียกว่า”ดาบลาว”หรือเรียกอย่างอคติว่า ดาบเชลย ) เพราะดาบชนิดนี้เป็นดาบที่มีใช้กันในกองทัพล้านนาและกองทัพลาวล้านช้าง
ดาบหลังช้างหรือดาบลาวนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการต่อสู้บนหลังช้าง แทนการใช้ง้าวหรือทวน แต่ดาบชนิดนี้ก็ยังถูกใช้โดยพลราบด้วยเช่นกัน สันนิษฐานได้ว่าดาบขนาดใหญ่เหล่านี้จะใช้ฟันร่างศัตรูในคราวละมากๆหรือตัดขาหรือคอม้าแล้ว น่าจะถูกใช้ในการฟันหรือทำลายเกราะด้วยเช่นกัน เพราะอย่างดาบโนดาชิของญี่ปุ่น หรือดาบเคลย์มอร์ของยุโรป ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเกราะทั้งสิ้นดาบหลังช้าง(อันบน)
ส่วนดาบในเขตภาคใต้จะมีลักษณะสองแบบ ก็คือเป็นกริชงอๆหยักๆดูคล้ายงูเลื้อย ซึ่งก็ล้วนเป็นอาวุธคู่กายของเหล่าชายชาติมลายูแทบทั้งสิ้น ส่วนดาบยาวทั่วไปก็เป็นดาบโค้งงอนตามอิทธิพลของดาบแขกหรืออาหรับ-เปอร์เซียร์ที่เคยมาติดต่อค้าขายในแถบคาบสมุทรมลายู ซึ่งมีดาบภาคใต้บางเล่มถูกตีทรงเป็นอย่างดาบซามูไรอีกด้วย เพราะเคยมีชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่มากที่ จ.นครศรีธรรมราชและ จ.ปัตตานี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาดาบซามูไร
กริชปัตตานี
ต่อมาดาบไทยยังถูกพัฒนาให้มีเครื่องป้องกันในส่วนด้ามจับ ที่รู้จักกันในชื่อ “กระบี่”นั่นเอง โดยกระบี่ไทยนั้นมีลักษณะแตกต่างจากกระบี่จีนตรงที่กระบี่ไทยนั้นมี คมเดียว เหมือนดาบและมีกระบังป้องกันมือ ส่วนกระบี่ของจีนนั้นมีใบดาบสองคมและไม่มีกระบังป้องกันมือ ซึ่งกระบี่ไทยน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากดาบของพวกทหารอาสาชาวยุโรปที่เข้ามาในประเทศสยามสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในปัจจุบันแม้การใช้ดาบเป็นอาวุธหลักในการสู้รบจะถูกเลิกใช้ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง แต่ด้วยความงามของศิลปะจากช่างตีดาบสกุลต่างๆในอดีตยังคงเป็นที่ประทับใจของชนรุ่นหลังอยู่เสมอมา จึงยังมีคนที่ต้องการเก็บสะสมดาบไทยเก่าๆทั้งนี้ก็เพราะความชอบส่วนตัว และเพื่อเป็นการเก็บไว้ให้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยสืบไป
ที่มาบางส่วนจากเว็บไซต์