(***จำนำ ตามความเข้าใจของผู้เขียนก็คือ “ไปขอยืมเงินเขามาใช้ด้วยการมีสิ่งของให้ไว้เป็นหลักประกันว่าจะเอาเงินไปคืนพร้อมดอกเบี้ยแล้วจึงได้สิ่งของนั้นกลับคืนมา” ความหมายนี้น่าจะใช่นะครับเพราะผู้เขียนก็เคยใช้บริการของโรงจำนำมาบ้างตอนเด็กๆด้วยความอยากลอง..***) แล้วมันเกี่ยวกันกับเรื่อง ผาลไถนาโบราณ นี้มั้ยล่ะ เหอๆๆ
การไถนาแบบโบราณที่ใช้ควายหรือกระบือเทียมไถ(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
การไถนาแบบโบราณที่ใช้วัวหรือโคเทียมไถในประเทศเมียนมาร์(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
การไถนาแบบโบราณที่ใช้ ช้างเทียมไถที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง จ.ตาก (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
จากนั้นก็จึงมีการคิดประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นมาอันหนึ่งและเรียกมันว่า “คันไถ” ด้วยการไปเลือกหากิ่งไม้ขนาดใหญ่หรือต้นไม้ขนาดเล็กที่มีลักษณะโค้งๆตามที่ออกแบบไว้โดยเลือกเฉพาะไม้เนื้อแข็งเพราะจะมีความแข็งแรงทนทาน เช่น ประดู่ ชิงชัน พยุง เป็นต้น เห็นมีทางภาคเหนือจะนิยมใช้ไม้สักซึ่งแม้ไม่ใช่ไม้เนื้อแข็ง แต่เพราะไม้สักมีเยอะและหาได้ง่าย ของเก่าเสียไปก็หามาเปลี่ยนบ่อยๆได้ ส่วนขนาดนั้นก็แล้วแต่ความเหมาะสมของสัตว์ที่จะใช้งาน ถ้าเป็นคันไถสำหรับวัวก็จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ส่วนคันไถสำหรับของควายจะใหญ่กว่า และที่ขนาดใหญ่สุดก็คือคันไถสำหรับช้าง
คันไถไม้ทำจากไม้เนื้อแข็งที่ด้านล่างไม่มี”หัวหมู” (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
คันไถไม้ทำจากไม้เนื้อแข็งที่ด้านล่างมี”หัวหมู”แต่ไม่มีเหล็กผานไถ(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
คันไถโบราณทำจากไม้ประดู่ รูปแบบทางภาคเหนือพร้อมผานไถที่ติดตั้งแล้ว (ภาพโดย Admin)
ลักษณะผานไถแบบชิ้นเดียวยึดติดกับ"หัวหมู"
ในส่วนของตัวไถ สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือ “ผานไถ” ที่ทำจาก "ขาง" ซึ่งเป็นโลหะเหล็กผสมพลวงที่นำไปหล่อเป็นใบขาง(ผาลไถ สำหรับใช้ไถนา ขนาดประมาณ ๘ *๖ นิ้ว ปลายแหลม) เนื่องจากขางเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการไถนาที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เชื่อกันว่ามีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ เพราะสามารถไถนาปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งโลกได้ อีกทั้งมีคุณสมบัติไม่เป็นสนิมง่ายและในตัวขางมีแร่ธาตุบางชนิดที่เป็นตัวยาสามารถใช้รักษาโรคได้ ในสมัยก่อนหากเด็กมีอาการเจ็บปากเจ็บลิ้น จะนำขางที่เผาแล้วไปแช่น้ำให้เด็กดื่ม ทำให้อาการเจ็บป่วยนั้นหายได้ หมอเมืองบางคนเชื่อว่า ความร้อนจากขางจะทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยได้ลึกกว่าการใช้โลหะอย่างอื่น) นำมาหลอมและหล่อขึ้นรูป เหมือนในรูปใส่หัวไม้และเหล็กผานไถด้านติดดินให้วัวควายลากกดหัวไถให้จมดินแล้วคอยขยับให้ดินพลิกหงายขึ้น ผานไถที่เคยเห็นจะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ
ส่วนขนาดก็จะแปรเปลี่ยนไปตามขนาดของ คันไถ ดังนั้น ผานไถนาโบราณ จึงมีหลายขนาดตามไปด้วย ที่ส่วนล่างของคันไถจะมีไม้ที่ทำยื่นออกมาจากตัวคันไถเรียก “หัวหมู” และจะเหลาปลายไม้นี้ให้เรียวแหลมเพื่อสอดใส่เข้าไปในรูด้านล่างของผานไถให้พอดีแล้วจึงตอกยึดด้วยตะปูอีกทีหนึ่งให้แน่นหนา หากไม่มีผานไถอันนี้ก็ใช้งานไถดินไม่ได้เพราะคันไถแม้จะทำจากไม้เนื้อแข็งก็ยังไม่แข็งเท่าเหล็กที่จะไถดินตะลุยไปได้ทุกที่ครับ
ผานไถแบบ 2 ชิ้นที่ติดตั้งกับหัวหมู(จะต้องเอาไปสวมต่อกับด้านล่างของคันไถ)แต่อีกชิ้นหนึ่งที่เป็นส่วนปลายไม่มี (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ผานไถนาโบราณแบบสองชิ้น (ภาพโดย Admin)
ผานไถนาโบราณแบบสองชิ้น ใช้งานด้วยการนำชิ้นที่ปลายแหลมคว่ำเอาช่องเสียบลงด้านล่าง หันด้านเรียบขึ้นข้างบนไปสวมเข้ากับ”หัวหมู” แล้วนำอีกชิ้นที่เหลือไปวางชิดกับชิ้นแรกทำให้ผานไถมีความโค้งต่อเนื่องกันแล้วยึดติดกับไม้ด้วยตะปู (จะสังเกตเห็นเขาทำรูเล็กๆเอาไว้ตอนหล่อในเบ้า) ส่วนเหตุผลที่เขาออกแบบเป็น 2 ชิ้นนั้นสันนิษฐานว่าคงเพื่อให้สะดวกเมื่อผานไถเกิดแตกหรือบิ่นที่ส่วนปลายซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ก็สามารถเปลี่ยนได้โดยง่าย ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งชิ้นครับ(ภาพโดย Admin)
ผานไถแบบสองชิ้นที่ติดตั้งกับหัวหมูของคันไถ(ภาพโดย Admin)
ด้านล่างของผานไถนาโบราณแบบ 2 ชิ้น (ภาพโดย Admin)
ผานไถนาโบราณแบบสองชิ้น อายุกว่าร้อยปี (ภาพโดย Admin)
ส่วนปลายของผานไถที่ผ่านการใช้งานหนักและมีอายุยาวนาน (ภาพโดย Admin)
ผานไถแบบชิ้นเดียว การติดและยึดกับ”หัวหมู”ก็จะคล้ายกับผานไถแบบ 2 ชิ้น (ภาพโดย Admin)
ด้านล่างของผานไถแบบชิ้นเดียว มีปุ่มยึดกับหัวหมูเพียงอันเดียว การติดและยึดกับ”หัวหมู”ก็จะคล้ายกับผานไถแบบ 2 ชิ้น (ภาพโดย Admin)
ด้านล่างของผานไถแบบชิ้นเดียว มีปุ่มยึดกับหัวหมูสองอัน การติดและยึดกับ”หัวหมู”ก็จะคล้ายกับผานไถแบบ 2 ชิ้น (ภาพโดย Admin)
คันไถที่ติดตั้งผานไถเสร็จแล้ว (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
อีกไอเดียกิ๊บเก๋ทีใช้ประโยชน์จาก ผานไถนาโบราณ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ในการออกแบบผานไถนาโบราณนั้นก็น่าจะลองผิดลองถูกกันมาแต่โบราณกาลแล้วกว่าจะได้ลักษณะผานไถที่มีรูปลักษณ์ปลายแหลมและมีความโค้งบิดเอียงเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อดินที่ไถขึ้นมาพลิกตัวกลับได้อย่างง่ายดายตรงตามความต้องการนั่นเอง
ผานไถนาโบราณที่นำไปลงยันต์และปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ผานไถนาโบราณที่นำไปลงยันต์และปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)