"เหรียญเงินตราพระอาทิตย์" หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นักสะสมชาวไทย
ว่า "เหรียญเงินอาณาจักรฟูนาน"
ขนาดในรูปคือขนาดประมาณ 2.5 กรัม ซึ่งเป็นขนาดกลาง
มีหลากหลายรูปเเบบ ที่เเบ่งเเยกโดยใช้เส่นเเสงพระอาทิตย์ ที่เเตกต่างกันดังรูป
เหรียญเงินนี้เป็นเหรียญที่มีอายุอานามเป็นพันปี
คือประมาณพุทธศตวรรษที่5-11เเต่เป็นที่รู้จักเเละสะสมกันไม่มากนัก
เนื่องจากมีของปลอมอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
เเต่ขนาดนี้มีเสน่ห์ตรงที่มีหลากหลายรูปเเบบครับ
"เหรียญทองคำดีน่า" ใช้เเถวคาบสมุทรมลายู
คือ ตั้งเเต่ปัตตานี นราธิวาส มาเลเซีย จนถึงเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย
อายุประมาณศตวรรษที่15-16 อายุประมาณ 400 ปี
จารึกอักษรยาวีทั้งสองด้าน
หนักประมาณ 0.6 กรัม เนื้อทองคำค่อนข้างสูง
เงินพดด้วงสมัยอยุธยา ขนาดหนึ่งบาท หลากหลายตราตั้งเเต่สมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิจนถึงราชวงศ์บ้านพูลหลวง เงินพดด้วงตราต่างๆนี้ มีชื่อที่เรียกกันขึ้นมาภายหลังโดยนักสะสม เพื่อให้เกิดความเเตกต่างในการเรียกชื่อของตรา โดยพดด้วงส่วนมากยังระบุรัชกาลที่เเน่นอนไม่ได้ มีเพียงตราพุ่มข้าวบิณฑ์หรือตราพระนารายณ์เท่านั้นที่สามารถระบุรัชกาลได้ว่า เป็นเงินพดด้วงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตามบันทึกของเดอลาลูเเบร์ ราชทูตฝรั่งเศส โดยตราของเงินพดด้วงสมัยอยุธยาที่เป็นที่รู้จักได้เเก่
ตราพระช่อดอกไม้หรือพระซ่อมดอกไม้
ตราสมาธิ
ตราก้านบัวเล็ก
ตราช่ออุทุมพร
ตราพุมข้าวบิณฑ์หรือตราพระนารายณ์
ตราห้าจุดหรือพุ่มห้า
ตราก้านบัวใหญ่
ตราครุฑ
ตราบัวยันต์
ตราราชวัตร
"เงินพดด้วง ๑ บาท สมัยธนบุรี-รัตนโกสินทร์"
เงินพดด้วงขนาดหนึ่งบาท สมัยธนบุรีถึงรัตนโกสินทร์
มีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
๑.) ตรา
มีเพียงสองตรา คือ
ตราบน - เป็นตราเเผ่นดินหรือตราราชวงศ์
ตราหน้า - เป็นตราประจำรัชกาล
๒.) เม็ดข้าวสาร
มีเม็ดข้าวสารที่ขาด้านใดด้านหนึ่ง
มีลักษณะเป็นวงรี เม็ดข้าวสารนี้อาจปรากฎที่ขาด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้
เม็ดข้าวสารนี้เริ่มมีในพดด้วงสมัยอยุธยาเป็นต้นมา จนถึงรัตนโกสินทร์
จนบัดนี้ยังไม่รู้เเน่ชัดว่าสัญลักษณ์นี้ทำเพื่อสิ่งใด
บางท่านบอกว่าเป็นรอยที่ทำขึ้นเพื่อใช้ดูว่าเนื้อในพดด้วงเป็นเงินเเท้มั้ย
ป้องกันการปลอมเเปลง เเต่รอยเม็ดข้าวสารนี้ตื้นมาก คงไม่สามารถใช้ดูเนื้อในได้
คงเป็นสัญลักษณ์ใดสัญลักษณ์หนึ่งที่ทางการทำไว้
เพื่อป้องกันการปลอมเเปลง หรือเป็นสัญลักษณ์สำคัญบางอย่าง
๓.) รอยค้อนที่ขา
มีทั้งเเบบสองค้อนเเละค้อนเดี่ยว
ซึ่งต่างจากสมัยอยุุธยาที่มีรอยค้อนเดียว
๔.) น้ำหนักอยู่ระหว่าง ๑๕-๑๕.๖ กรัม
ส่วนมากจะไม่ต่ำกว่า ๑๕ กรัม
หากไม่สึกหรือผ่านการใช้มามาก ต่างจากเงินพดด้วงสมัยอยุุธยา
ที่น้ำหนักจะประมาณ ๑๔.๔-๑๔.๘ กรัม
เงินพดด้วงตรามงกุฎ สมัยรัชกาลที่๔ มีตรามงกุฎหรือชฎาเป็นตราพระราชลัญจกร ตามพระนามเดิมของรัชกาลที่๔คือเจ้าฟ้ามงกุฎ ตราบนเป็นตราจักรเหมือนกับในสมัยรัชกาลที่๓ เเรกเริ่มผลิตมีขนาดตั้งเเต่หนึ่งบาทลงมาถึงหนึ่งไพ(ขนาดเล็กตั้งเเต่ขนาดเฟื้องลงมาหายากมาก)
ต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๐๒ ได้มีการผลิตเงินพดด้วงขนาดใหญ่ขึ้นเป็นใช้เเจกในงานฉลองพระมหามณเฑียรพระที่นั่งอนันตสมาคม มี ๓ ขนาดคือ ๘๐ บาทหรือหนึ่งชั่ง ๔ บาท เเละสองบาท ตามลำดับ
ในรูปเป็นเงินพดด้วงตรามงกุฎขนาดบาท สองสลึง เเละสลึง
การประกาศเลิกใช้เงินพดด้วง
เงินพดด้วงนั้นยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีใช้กันครั้งแรกในรัชกาลใด แต่สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย เงินพดด้วงส่วนใหญ่ทำด้วยเงินบริสุทธิ์ ส่วนพดด้วงที่ทำด้วยทองคำนั้นพบในสมัยรัตนโกสินทร์เท่านั้น
พดด้วงมีรูปร่างลักษณะสัณฐานกลม ปลายทั้งสองข้างงอเข้าหากันเหมือนตัวด้วงขด มีด้านต่างๆ คือ ด้านบนประทับตราประจำแผ่นดิน ด้านหน้าประทับตราประจำรัชกาล ด้านหลังปล่อยว่าง ด้านล่างประทับรอยเมล็ดข้าวสาร ด้านข้างเป็นรอยค้อน
ต่อมาไทยมีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ทำให้การค้าเฟื่องฟูมาก การผลิตพดด้วงทำได้ช้า ไม่ทันต่อความต้องการ ใน พ.ศ. 2403 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญกระษาปณ์จากเครื่องจักรแทนการผลิตพดด้วง
จนกระทั่ง พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศยกเลิกการใช้พดด้วงเป็นเงินตราตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2447 เป็นต้นมา
(อ้างอิง: สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 20)
"โสฬส อัฐ เสี้ยว เเละซีก"
เหรียญทองเเดงทองเหลือง ชนิดราคาซีกหรือสองอันเป็นเฟื้อง เเละชนิดเสี้ยวหรือสี่อันเป็นเฟื้อง ผลิตขึ้นในสมัยรัชกาลที่4 ในปี 2408 เป็นระบบหน่วยย่อยเงินตราที่มีการสร้างขึ้นใหม่ คือระบบหน่วย โสฬส อัฐ เสี้ยว เเละซีก จากในอดีตที่มีเพียง ไพ สองไพ เฟื้อง สลึง กึ่งบาท หนึ่งบาท สองบาท สี่บาท เป็นต้น
ราคาโสฬสเเละอัฐ เหรียญทำด้วยดีบุก ผลิตขึ้นในปี 2405
ราคาเสี้ยวเเละซีก ทำด้วยโลหะทองเเดงเเละทองเหลือง ผลิตขึ้นในปี 2408
สีของโลหะที่ใช้ผลิตน่าจะเกิดจากการผสมเนื้อโลหะที่ต่างกันจนเกิดเป็นสีเเดงหรือสีเหลือง หากผสมสังกะสีมากไปกับทองเเดงสีโลหะก็จะเป็นทองเหลือง หากผสมสังกะสีน้อยไปสีก็ยังเป็นสีของทองเเดง
เหรียญรุ่นนี้ระยะเเรกผลิตเป็นเเบบหนาหรือเเบบเต็มมูลค่าโลหะ จึงทำให้เหรียญมีน้ำหนักมาก ภายหลังเมื่อประชาชนเชื่อถือมากขึ้นจึงลดขนาดโลหะลงโดยผลิตเป็นเเบบบาง เคยมีผู้เขียนประวัติลงว่าเหรียญเสี้ยว ซีก เเบบหนาที่ผลิตเมื่อนำไปโปรยทานถูกหัวราษฎรจนหัวร่างค่างเเตก รัชกาลที่4 จึงทรงมีพระราชดำรัสให้ทำเหรียญให้มีขนาดน้ำหนักน้อยลง
"เหรียญกาสิโนเมืองไทย"
นับเป็นเหรียญกาสิโนเพียงชุดเดียวของไทยที่ผลิตขึ้นอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
จากผลจากสงครามโลกครั้งที่2 ที่ยืดเยื้อยาวนาน ทำให้เกิดความเสียหายมากมาย ผู้เสียชีวิตจากสงครามครั้งนี้ว่ากันว่าน่าจะประมาณ 60-70 ล้านคน ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากเเพง ภาวะเงินเฟ้อ ทุกข์เข็ญเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า รัฐบาลไทยต้องชดใช้ค่าปฏิกรสงครามจำนวนหนึ่ง พร้อมกับข้าวสารจำนวนมากให้เเก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เเละเกือบจะเป็นผู้พ่ายเเพ้สงครามพร้อมกับฝ่ายอักษะ เเต่ได้กระบวนการเสรีไทยมาช่วยไว้ เลยทำให้รอดพ้นจากการต้องเป็นฝ่ายพ่ายเเพ้สงคราม
เเต่รายได้ของรัฐบาลก็ลดลงมากเพราะผลจากสงคราม รัฐบาลจึงคิดวิธีหารายได้เข้ารัฐ โดยการเปิดบ่อนกาสิโนเป็นครั้งเเรกในเมืองไทยเมื่อวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ มีการผลิตชิบขึ้นจำนวนหนึ่งมี 4 ราคาด้วยกันคือ 1,10,20 เเละ 100 บาท ด้านหน้าเป็นรูปนกวายุภักษ์ ด้านหลังระบุราคาไว้ ที่ขอบเหรียญมีการตีตราระบุหมายเลขไว้
ขนิดราคา 100 บาท ตอกหมายเลข 3 หลัก พบจำนวนไม่เกิน 500 เหรียญ
ชนิดราคา 20 บาท ตอกหมายเลข 4 หลัก
ชนิดราคา 10 บาท ตอกหมายเลข 4 หลัก
ชนิดราคา 1 บาท ตอกหมายเลข 5 หลัก
เหรียญดังกล่าวทำจากนิกเกิล ผลิตจากประเทศอังกฤษ เปิดบ่อนคาสิโนอยู่ประมาณ 4 เดือน ราษฎรเล่นกันจนหมดเนื้อหมดตัว ตามข่าวว่ามีคนเล่นกันจนหมดตัวก็มาก ที่เสียใจถึงฆ่าตัวตายก็มี รัฐบาลจึงสั่งปิดบ่อนกาสิโนเมื่อวันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ทำให้เหลือเพียงชิบหรือเหรียญกาสิโนไว้ให้ดูต่างหน้า ว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในเมืองไทย
ปัจจุบันเหรียญกาสิโนครบชุดหาค่อนข้างยาก ส่วนมากที่พบจะเป็นชนิดราคา 1 บาทซึ่งผลิตจำนวนมากหลายหมื่นเหรียญ เเต่ชนิด 100 บาทนั้นถึงเเม้จะมีเลข 3 หลัก เเต่ไม่เคยพบเหรียญที่มีเลขเกิน 500 เลย ดังนั้นเหรียญชุดนี้จึงน่าจะมีไม่เกิน 500 ชุด
"เงินลาด" เงินปลีกของอาณาจักรล้านช้าง
ความเป็นมาของเงินตราชนิดนี้ได้มีบันทึกไว้ใน “ บันทึกการเดินทางในลาว(Voyage dans le Laos)” ของเอเจียน แอมอนิเย นักสำรวจชาวฝรั่งเศสที่ได้เดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนแถวประเทศลาวและภาคอีสานของไทย(หลังดินแดนล้านช้างถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลังเกิดเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒) ในปี พ.ศ.2438 ในบันทึกส่วนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “พวกคนลาวตามหัวเมืองและตามแม่น้ำใช้เงินเป็นเหรียญทองแดง เรียกว่าเงินลาด(Lat) ซึ่งจะพบเห็นอยู่ตามเมืองต่างๆในแถบนี้ของประเทศลาว”
เงินตราชนิดนี้น่าจะผลิตใช้เป็นเงินปลีกสำหรับชาวบ้านไว้ใช้สอยกันในตลาดเอง ดังในบันทึกของเอเจียน แอมอนิเย ได้กล่าวว่า
“มีโรงงานผลิตเหรียญเล็กๆอยู่ทั่วไป รัฐบาลปล่อยให้ดำเนินการได้อย่างเสรี มีการผลิตภายในกระท่อมหลายหลัง ซึ่งอยู่ใกล้กับศาลาที่ผมเข้าพักแรม ชายหนุ่มคนหนึ่งใช้ตาชั่งชั่งทองเหลือง ๔ จี(๑ จีหนักประมาณ ๔กรัม) โดยเอาตะกั่วเติมใส่ชิ้นหนึ่งเพื่อทำให้โลหะหลอมได้ดี เขาจัดวางเป็นกองเล็กๆ บนกระด้ง อยู่ข้างผู้หญิงสองคน หญิงคนหนึ่งเดินเครื่องทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม หญิงอีกคนหนึ่งเทโลหะลงในเบ้าดินเหนียวเป็นรูปกลมๆ คล้ายกับถ้วยน้ำชาเล็กๆ เพื่อให้ได้ผลดีในการหลอม เขาก็เติมแกลบนิดหน่อย ทำให้ไฟลุกเป็นเปลวหลังจากนั้นก็ใช้คีมเหล็กคีบเอาเบ้าหลอม เบ้าทั้ง ๔ อันขุดเป็นรูตามรูปแบบน้อยใหญ่แล้วแต่ที่จะให้รูปแก่เงินลาด ซึ่งจะตกลงไปที่พื้นดินเมื่อคว่ำด้านหน้าลง”
เนื่องด้วยที่เป็นเงินตราที่ชาวบ้านผลิตขึ้นใช้เอง จึงทำให้เงินตรานี้มีหลากหลายขนาด ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ตามแต่จะออกแบบกันขึ้นมา จึงทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราชนิดนี้ไม่แน่นอน ตามขนาดที่ผลิตขึ้นมา นิยมเทียบเงินลาดกับค่าเงินบาทของสยาม โดยในบันทึกการเดินทางในลาว ได้บันทึกอัตราแลกเปลี่ยนในเมืองต่างๆของดินแดนล้านช้างไว้หลายเมืองคือ
เมืองจำปาสัก ผึ้งหนึ่งรังราคา ๖ ลาด เงิน ๔๐ ลาดเป็นหนึ่งบาท
เมืองพิมูล(พิบูลมังสาหาร) เงิน ๑๐ ลาดเป็นหนึ่งสลึง
เมืองอุบล เงิน ๑๔ ลาดเป็นหนึ่งสลึง
เมืองเขมราฐ เงิน ๘ ลาดเป็นหนึ่งสลึง ไก่ ๑ตัวราคา ๕ ลาด เป็ดราคา ๘ ลาด
เมืองเมลูไพ(บ้านแสน) เงิน ๔ ลาดเป็นหนึ่งสลึง ๑๖ ลาดเป็นหนึ่งบาท
เมืองยโสธร เงิน ๖ ลาดเป็นหนึ่งสลึง
เมืองธาตุพนม เงิน ๘ ลาดเป็นหนึ่งสลึง
เมืองละคร(นครพนม) เงิน ๘ ลาดเป็นหนึ่งสลึง
เมืองโพนวิสัย(อำเภอโพนพิสัย) เงิน ๑๐ ลาดเป็นหนึ่งสลึง เงินลาดที่นี่มีขนาดใหญ่ชั่งได้ ๘ จี(ประมาณ ๓๒ กรัม)
ในช่วงยุคหนึ่งสมัยหนึ่งของอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางในฐานะเมืองประเทศราชของสยามตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๒๒ ได้ผลิตเงินตราอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เคยมีการผลิตมาก่อน รูปทรงเรียวยาวเช่นเดียวกับเงินฮ้อยหรือเงินคาน แต่ไม่มีตุ่มตามตัวของเงิน ตอกตราสัญลักษณ์สำคัญ ๓-๔ ตรา เงินตราชนิดนี้ยังไม่มีบันทึกหรือข้อมูลแน่ชัดว่าในอดีตเรียกชื่อกันว่าอย่างไร แต่บรรดานักสะสมเงินตราโบราณมักเรียกชื่อเงินตรานี้ว่า”เงินลาด” ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะมีบันทึกของนักสำรวจชาวฝรั่งเศสชื่อ เอเจียน แอมอนิเย ซึ่งเดินทางเข้ามาสำรวจลาวและภาคอีสานของไทย ในปี พ.ศ.๒๔๓๘ บันทึกเกี่ยวกับ”เงินลาด”ไว้ว่า คือเงินตราที่ผลิตจากทองแดง ทองเหลือง ชาวบ้านผลิตใช้กันทั่วไป มีรูปทรงเรียวยาวคล้ายกับเรือ ไม่มีการตอกตราใดๆ ดังนั้นจึงเป็นที่แน่ชัดว่าเงินตราที่ผมกล่าวถึงนี้ ไม่ได้เรียกชื่อว่าเงินลาดอย่างแน่นอน
ผมมีโอกาสได้ไปหลวงพระบาง จึงได้หาข้อมูลเกี่ยวกับเงินตราชนิดนี้ จากบรรดาร้านที่ขายเงินโบราณรวมทั้งคนแก่คนเฒ่าที่รู้จักเงินตราชนิดนี้ เรียกเงินตรานี้ว่า “เงินสยามหรือเงินแท่งสยาม” เป็นเพราะว่าเงินตรานี้ตีตราจักรซึ่งเป็นตราราชวงศ์จักรีของสยามและคงเป็นเงินตราที่สยามเข้ามามีบทบาทให้มีการผลิตขึ้น จึงเป็นที่มาของชื่อนี้ ดังนั้นเพื่อให้ให้สอดคล้องกับที่มา แม้ยังไม่รู้ว่าในอดีตเรียกเงินตราชนิดว่าอย่างไร ผมขอเรียกเงินตราชนิดนี้ว่า “เงินแท่งสยาม” เพื่อให้เป็นที่เข้าใจแล้วกันนะครับ
เงินแท่งสยามนี้มีด้วยกัน 3 ขนาดคือ ขนาดใหญ่ หนักประมาณ ๗๔-๗๖ กรัม ขนาดกลางหนักประมาณ ๓๕-๓๘ กรัม ขนาดเล็กหนักประมาณ ๑๗-๑๙ กรัม รูปแบบน้ำหนักดังกล่าวพบว่าสอดคล้องกับระบบน้ำหนักของจีนหรือเวียดนามคือระบบเงินตำลึงจีน โดยหนึ่งตำลึงจีนจะหนักประมาณ ๓๘ กรัม ในขณะที่หนึ่งตำลึงของสยามจะหนักประมาณ ๖๐ กรัมหรือสี่บาท ทำให้เงินแท่งสยามทั้ง ๓ ขนาด มีขนาดตามระบบเงินตำลึงจีนคือ สองตำลึง หนึ่งตำลึง และ ครึ่งตำลึง ตามลำดับ
ลักษณะของเงินตรานี้เป็นแท่งเรียวยาว ทำจากทองแดงแล้วชุบด้วยเงิน จนเป็นที่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเงินตราชนิดนี้จึงไม่ทำจากโลหะเงินทั้งแท่ง แต่กลับทำจากทองแดงแล้วชุบด้วยเงิน เพราะเงินตราที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปสมัยนั้นมักทำด้วยโลหะเงินทั่วทั้งชิ้นเงิน
ด้านหน้าของเงินแท่งนี้จะตอกตราไว้อย่างน้อย ๓ ตราคือ ตราจักรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์จักรีของสยาม ตราจักรนี้เป็นตราจักรที่ใช้สมัยรัชกาลที่๒-๓ ของสยาม จึงทำให้สามารถประมาณอายุหรือช่วงเวลาที่มีการใช้เงินตราชนิดนี้ว่าอาจอยู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๒-๒๓๙๔ ซึ่งเป็นช่วงสมัยรัชกาลที่๒-๓ ของสยาม
อีกตราหนึ่งจะเป็นตราสัตว์ซึ่งอาจเป็นตราสัญลักษณ์ของเมืองสำคัญของอาณาจักรอันได้แก่ ตราเต่า ตราปลา ตราหอยกาบและตราผีเสื้อ(แมงกะเบื้อ) ตราเหล่านี้มีลวดลายค่อนข้างชัดเจน และตีตราได้ค่อนข้างประณีต บ่งบอกว่าเป็นงานผลิตของหลวงหรือทำมาจากโรงกษาปณ์ของหลวงอย่างแน่นอน ส่วนด้านหลังของเงินตรานี้ไม่มีการตอกตราสัญลักษณ์ใดๆ
เงินแท่งสยามนี้พบว่ามีการผลิตเป็นชุดคือ ตราเต่า ตราปลา ตราหอยกาบ ตราผีเสื้อ ก็ผลิตแต่ละตราแบบครบชุดทั้ง ๓ ขนาดคือ สองตำลึง หนึ่งตำลึง และครึ่งตำลึงจีน ขนาดที่พบว่ามีจำนวนมากกว่าขนาดอื่นคือขนาดหนึ่งตำลึงจีน ส่วนขนาดสองตำลึงและครึ่งตำลึงจีนพบน้อยกว่ามาก
นอกจากนี้แล้วยังพบว่ามีชุดเงินแท่งสยาม ที่ผลิตเป็นชุดที่ตอกตรา ๔ ตราด้วย โดยตราที่ตอกเพิ่มอีกหนึ่งตราคือตราคล้ายดอกจัน มีกลีบ ๘ กลีบ
"เงินฮ้อยหรือเงินคาน" เงินตราอาณาจักรล้านช้าง
คำว่าเงินฮ้อยนั้น น่าจะเป็นชื่อที่ราษฎรใช้เรียกเงินนี้ สืบเนื่องมาจากว่ามาตรวัดของล้านช้างและล้านนานั้นใช้มาตรวัดเดียวกันคือ บาทหนึ่งหนักประมาณ12 กรัม หน่วยย่อยกว่าบาทนั้นเรียกกันว่า “เงือนหรือเงิน” โดยหนึ่งเงินน้ำหนักประมาณ 1.2 กรัม ดังนั้นเงินที่หนักประมาณ 120 กรัม จึงเรียกกันว่า ฮ้อยเงินหรือเงินฮ้อย ซึ่งมีค่าสิบบาท และเรียกติดปากกันมาเช่นนั้น
ส่วนชื่อเงินคานนั้น ปรากฏอยู่ในหลักฐานเอกสาร ใบจุ้มเลขที่๓ลงศักราชไว้ว่า ศักราช 14 ตัว (จุลศักราช 1014 หรือพุทธศักราช 2195)
ข้อความว่า “ คนเก่าเข้า ๔๕ เงินคานเก่าหกร้อย คนใหม่๖ แรงไท๓ รามสีน๓ ขึ้นเงินคาน ๙ บาดเงิน โฮมเงินคานเก่าใหม่เข้าด้วยกันเป็นเงินหกร้อย ๙ บาด โฮมคนเก่าคนใหม่เข้ากันเป็น ๕๑ คน เถิงขวบปีให้เขานำเงินคานมาถวาย หกร้อย ๙ บาด มาถวายซุปีเป็นปกระติ”
คำว่าเงินคาน(ไม้คาน)น่าจะเป็นชื่อที่มีมาเเต่ดั้งเดิม ภายหลังเรียกกันว่า เงินฮ้อย เหตุเพราะเงินตราชนิดนี้ผลิตเพียงขนาดเดียวคือ ฮ้อยเงิน เเต่ภายหลังมีการผลิตเพิ่มเติมอีกหลายขนาดคือ
1.น้ำหนักประมาณ 120 กรัม ยาว 12-13 ซม. มีค่าฮ้อยเงินหรือสิบบาท เป็นขนาดที่นิยมผลิตมาตั้งแต่อดีต ขนาดนี้จึงพบมากที่สุด
2.น้ำหนักประมาณ 240 กรัม ยาว 16-18 ซม. มีค่าสองฮ้อยเงินหรือซาวบาท(ยี่สิบบาท) หายากพอสมควรเพราะผลิตไม่มากนัก
3.น้ำหนักประมาณ 90-100 กรัม ยาว10.5-11 ซม.มีค่าแปดบาทหรือเก้าบาท
4.น้ำหนักประมาณ 60 กรัม ยาว 9-10 ซม. มีค่าห้าบาท
5.น้ำหนักประมาณ 30 กรัม ยาว 5-6 ซม. มีค่าสองบาทเคิ่ง(สองบาทครึ่ง) เป็นเงินฮ้อยขนาดเล็กสุด ผลิตเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ จึงพบจำนวนน้อยมาก
ลักษณะของเงินฮ้อยเป็นเงินแท่งยาวคล้ายกับกระสวยทอหูกหรือลำเรือ ตามลำตัวด้านบนของตัวเงินจะมีตุ่มล้อมรอบ โดยตุ่มนั้นจะเรียงเป็นสองแบบคือ ตุ่มด้านในเรียงกันเป็นแถวยาวจากหัวด้านหนึ่งไปยังหัวอีกด้านหนึ่ง ลักษณะของตุ่มจะเรียงตัวชิดกันเป็นปื้น โดยเว้นช่องตรงกลางไว้สำหรับตีตราประทับ(จะได้เล่าต่อไปว่ามีตราอะไรบ้าง) ส่วนตุ่มด้านนอกหรือด้านริมจะเรียงตัวตามพื้นที่ที่ยังว่างอยู่ ลักษณะของตุ่มจะเป็นตุ่มที่เรียงตัวไม่ชิดกัน ขนาดตุ่มใหญ่บ้างเล็กบ้าง ด้านหลังของตัวเงินเรียบ ไม่มีตุ่มหรือลักษณะอื่นๆ
ส่วนตราประทับนั้น มีหลากหลายมาก ขึ้นกับยุคสมัยเเบ่งออกเป็นหลายยุคคือ ยุคอาณาจักรล้านช้าง ยุคอาณาจักรล้านช้างเเตกออกเป็น ๓ อาณาจักร ยุคอาณาจักรล้านช้างตกเป็นประเทศราชของสยาม เป็นต้น ดังจะได้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปครับ
"เงินฮาง" เงินตราเวียดนามที่เข้ามามีอิทธิพลในดินเเดนลาวล้างช้าง
หลวงผดุงแคว้นประจันต์(จันทร์ อุตรนคร) ข้าหลวงกำกับราชการเมืองสกลนคร สมัยรัชกาลที่๕ ได้เขียน “เรื่องเงินของราษฎรภาคอีสาน” ในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆภาคที่๑ ลัทธิธรรมเนียมราษฎรภาคอีสานว่า “เงินฮางนี้มีน้ำหนัก ๖ ตำลึง ๖ สลึง อีกประการหนึ่งคำเรียกว่าฮางนั้นเป็นสำเนียงภาษาราษฎรภาคอีสานตะวันออก ถ้าสำเนียงภาษาไทยก็เรียกว่า “ราง” อีกประการหนึ่งที่เรียกว่าเงินฮางนั้น บางทีเขาก็เรียกว่าเงินฮางรังไก่ก็มี เรียกเงินฮางศรีษะโปก็มี ที่เรียกว่ารังไก่นั้นเพราะที่ก้นของเงินเป็นร่องแหลมกลมเหมือนก้นหอย ที่เรียกว่าเงินฮางศรีษะโปนั้นเพราะศรีษะข้างที่เขาตอกดวงตราประจำและขีดเลขหมาย มีปมโตกว่าข้างที่ไม่ได้ตอกตรา”
จากข้อความที่หลวงผดุงฯได้กล่าวไว้นั้นจะเห็นได้ว่าเงินฮางที่กล่าวถึงล้วนมีขนาด ๖ ตำลึง ๖ สลึง หรือเทียบเท่า ๑๐ ตำลึงจีนนั่นเอง( ๑ ตำลึงจีนหนักราว ๓๘ กรัมแต่ ๑ ตำลึงของไทยหนักราว ๖๐ กรัม) ที่เรียกว่าเงินฮางเพราะมีลักษณะคล้ายฮางข้าวที่ใส่ข้าวให้หมู มีขอบยกสูง
“เงินฮางศรีษะโป” นี้มีลักษณะเป็นแท่งยาว ขอบยกสูง ลำตัวโค้งงอ ด้านหัวของเงินปูดหรือโต(โป)แต่ไม่มาก ด้านข้าง ด้านหัวและด้านหน้า มักตอกอักษรจีนหรือเวียดนามกำกับไว้ ด้านหลังช่างทำเงินมักขีดเส้น ๑๐ ขีดไว้เพื่อการันตีว่าเป็นเงินแท้ ซึ่งลักษณะการขีดจะไม่เหมือนกัน บางท้องถิ่นเรียกเงินตราชนิดนี้ว่า “เงินฮางคองูสิง” เพราะลำตัวของเงินโค้งงอคล้ายกับงู ชื่อเรียกของเงินตราชนิดนี้เรียกชื่อต่างๆนานา ตามแต่ชาวบ้านจะเรียกขาน
หน่วยเงินที่ชาวบ้านเรียกเงินฮางนี้จะเรียกเป็นขัน เช่นเงินฮางขันหนึ่งซึ่งหมายถึงเงินฮางแท่งหนึ่ง มีน้ำหนักราว ๓๘๐ กรัมหรือ๑๐ ตำลึงจีน คำว่า “ขัน”นี้น่าจะหมายถึงเข้มข้นหรือบริสุทธิ์สูง ที่บางครั้งเรียกกันว่าเข้มขัน ขันแข็ง เป็นต้น เนื่องด้วยเงินฮางนี้มีความบริสุทธิ์ของเงินประมาณ ๙๘% ผลิตจากเวียดนามแล้วแพร่มาใช้ในดินแดนของล้านช้างในอดีต แต่ต่อมาก็มีการผลิตขึ้นเองในลาวและตีตราช่างผู้ทำเงินเพื่อการันตีว่าเป็นเงินแท้ เงินฮางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของประชาชนคือ เงินฮางของทิดเพ้า ทำขึ้นด้วยเงินบริสุทธิ์สูงแต่รูปทรงแข็งทื่อไม่อ่อนช้อยเช่นของโบราณ เงินฮางที่ทำให้ยุคหลังนี้จะใช้เหรียญเงินขนาด ๑ เปี๊ยต(หนัก ๒๗ กรัม)ของฝรั่งเศสจำนวน ๑๔ อันจะได้เงินฮางหนึ่งเเท่ง น้ำหนัก ๑๐ ตำลึงจีนพอดี
เงินฮางนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่เป็นที่รู้จักและเรียกขานกัน คือ เงินแนนหรือเงินแน่น ซึ่งหมายถึงเงินตราที่มี
เส้นใยละเอียดหรือมีความบริสุทธิ์ของเนื้อเงินสูงนั่นเอง
"เงินฮางรังไก่"
จากที่หลวงผดุงฯกล่าวไว้ว่า “เงินฮางนี้มีน้ำหนัก ๖ ตำลึง ๖ สลึง อีกประการหนึ่งคำเรียกว่าฮางนั้นเป็นสำเนียงภาษาราษฎรภาคอีสานตะวันออก ถ้าสำเนียงภาษาไทยก็เรียกว่า “ราง” อีกประการหนึ่งที่เรียกว่าเงินฮางนั้น บางทีเขาก็เรียกว่าเงินฮางรังไก่ก็มี เรียกเงินฮางศรีษะโปก็มี ที่เรียกว่ารังไก่นั้นเพราะที่ก้นของเงินเป็นร่องแหลมกลมเหมือนก้นหอย ที่เรียกว่าเงินฮางศรีษะโปนั้นเพราะศรีษะข้างที่เขาตอกดวงตราประจำและขีดเลขหมาย มีปมโตกว่าข้างที่ไม่ได้ตอกตรา”
เงินฮางรังไก่ที่กล่าวถึงนั้นเป็นเงินตราที่พ่อค้าจีนทำขึ้นเพื่อซื้อขายสินค้าและใช้จ่ายทั่วไป ไม่ใช่เงินตราที่ผลิตจากเวียดนามแต่อย่างใด รูปทรงมีหลายแบบทั้งทรงขนมครก ทรงเรือสำเภา ทรงรองเท้า เป็นต้น ตรงกลางมีลายขดเหมือนก้นหอย เงินตราชนิดนี้ได้เเพร่ลงมาใช้ยังอาณาจักรล้านช้างด้วย
ชาวตะวันตกเรียกเงินตรานี้ว่า “เงินไซซี” ซึ่งมาจากภาษาจีนกลางว่า “ซี ซือ” แปลว่าเส้นใยละเอียดซึ่งหมายถึงเงินที่มีความบริสุทธิ์สูง มีความบริสุทธิ์ของเงินประมาณ ๙๘% แต่คนโบราณมองลักษณะของเงินตรานี้คล้ายกับรังไก่ที่ชาวบ้านทำขึ้นให้ไก่วางไข่ จึงเรียกชื่อตามลักษณะนั้น
ลักษณะของรังไก่ สำหรับให้ไก่ไข่
เงินตราอีกชนิดหนึ่งที่หลวงผดุงฯกล่าวถึงคือเงินตู้ “ที่เรียกว่าเงินตู้ก็มีรูปพรรณสัณฐานอย่างเดียวกับเงินฮาง มีแปลกอยู่แต่ขอบศรีษะและท้อง เงินตู้ไม่มีขอบสูงเหมือนเงินฮางอย่างหนึ่ง มีศรีษะไม่งอนขึ้นเหมือนเงินฮางอีกอย่างหนึ่ง มีท้องไม่เป็นร่องลึกเหมือนเงินฮางอย่างหนึ่ง เงินตู้นี้เขาหล่อเป็นรูปแบนๆ เป็นสี่เหลี่ยมเหมือนอย่างรูปพรรณเงินที่เขาตีให้เป็นสี่เหลี่ยม คำที่เรียกว่าตู้ ถ้าจะว่าตามภาษาราษฎรภาคอีสานก็แปลว่า “ลุ่น” เพราะไม่มีขอบ ไม่มีริมเหมือนเงินฮาง เหมือนดังกระบือทุย ภาษาราษฎรภาคอีสานก็หมายเรียกว่ากระบือตู้”
เงินตู้นี้มีหลากหลายขนาดตามแต่จะผลิต แรกเริ่มเดิมทีคงผลิตในเวียดนาม แต่ภายหลังก็ผลิตใช้ทั่วไปทั้งในลาว เขมร เวียดนาม เพราะผลิตได้ด้วยวิธีการง่ายๆ ถึงแม้จะมีความบริสุทธิ์สูงแต่อาจต่ำกว่าเงินฮางบ้าง ประชาชนโดยทั่วไปก็ยอมรับนับถือในมูลค่าของเงินนี้ตามน้ำหนัก ซึ่งมีหลากหลายขนาดเช่น
น้ำหนัก ๖ ตำลึง ๑ บาท หรือ ๒๕ บาท(บาทหนึ่งหนักประมาณ ๑๕.๒กรัม)
น้ำหนัก ๕ ตำลึง ๑ บาท หรือ ๒๑ บาท
น้ำหนัก ๓ ตำลึง ๒ บาท หรือ ๑๔ บาท
น้ำหนัก ๓ ตำลึงหรือ ๑๒ บาท
ในรูป เงินตู้หนัก ๓๑๐ กรัมหรือ ๘ ตำลึงจีนหรือ ๕ ตำลึง ๑ บาทไทย
"เงินเเท่งเวียดนาม"
เงินตราอีกชนิดหนึ่งของเวียดนามที่ได้แพร่เข้ามาใช้ในดินแดนของล้านช้าง(ประเทศลาวเเละภาคอีสานของไทย) และใช้ต่อมาจนกระทั่งดินแดนของสองฝั่งโขงถูกแยกออกจากกัน คือเงินแท่งหรือบางครั้งเรียกกันว่าเงินดิ้ง เป็นเงินตราขนาดย่อมหนักประมาณ ๓๘ กรัมหรือ ๑ ตำลึงจีน ถ้าตามมาตราของไทยก็มีมูลค่า ๑๐ สลึง ลักษณะของเงินแท่งนี้เป็นแท่งยาวสี่เหลี่ยม ตอกตราอักษรเวียดนามไว้ทุกด้าน ทั้งหน้า-หลัง หัว-ท้าย ด้านข้าง อักษรที่ประทับไว้ด้านหน้าและด้านหลังจะบอกมูลค่าของเงินและชื่อกษัตริย์เวียดนามเอาไว้
เงินแท่งที่พบโดยส่วนมากจะเป็นเงินแท่งที่ผลิตขึ้นในรัชสมัยกษัตริย์เจียล่งหรือยาลอง
(Jia Long) ที่ครองราชย์ในระหว่างปี พ.ศ.๒๓๔๕-๒๓๖๒ โดยด้านหน้าตีตราอักษรสี่ตัว อ่านได้ว่า “เจีย หลง นี่ จ้าว” แปลว่าผลิตขึ้นในรัชกาลเจียล่ง ด้านหลังตีตราอักษรว่า “จิง อิ๋น อี่ เหลี่ยง” แปลว่าเงินบริสุทธิ์หนึ่งตำลึง เงินแท่งนี้ผลิตต่อเนื่องมาอีกหลายรัชสมัย แต่ผลิตไม่มากนักหลังจากตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส จึงทำให้พบเจอเงินแท่งที่ตอกตรารัชกาลอื่นนอกจากกษัตริย์เจียล่งแล้วน้อยมาก
เงินตราเวียดนามนี้มีหน่วยที่เรียกกัน เป็นหน่วยน้ำหนักคือ
๑๐ ฝน เป็น ๑ บั๊ก
๑๐ บั๊ก เป็น ๑ เบี้ย(หนึ่งตำลึงจีน)
๑๐ เบี้ย เป็น ๑ ปง (บางครั้งก็เรียกขัน)
นอกจากนี้แล้วยังมีการผลิตเงินแท่งที่มีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเบี้ยด้วย แต่ผลิตน้อยมาก
ส่วนมากมีใช้ในเวียดนาม ไม่ค่อยพบเจอที่อื่นเพราะมีขนาดเล็ก ใช้เป็นเงินปลีก
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณ์และเงินตราโบราณ