มารยาท ความเชื่อ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับประทานเนื้อสุนัขของคนอ่าข่า
คนอ่าข่า มักถูกล้อบ่อยว่า “อีก้อกินหมา” หลายครั้งมีเรื่องทะเลาะกันระหว่างคนอ่าข่ากับคนพื้นราบตามโรงเรียน หรือสถานประกอบการ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ การรับประทานเนื้อสุนัขนั้นเป็นเรื่องจริงในสังคมอ่าข่าและมิได้มีเพียงแค่กลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่าเท่านั้นที่รับประทานเนื้อสุนัข หากศึกษาอย่างถ่องแท้ถึงวิถีการกินของคนเอเชีย มีหลายชนชาติที่กินสุนัขเหมือนกัน การกินสุนัขของคนอ่าข่ามีความเป็นมาในแง่พิธีกรรม ซึ่งใช้สุนัขเป็นองค์ประกอบในหลายพิธีกรรม ตรรกะของการกินสุนัขของคนอ่าข่าไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอย ๆ หากแต่เกิดจากความเชื่อที่แสดงออกมาในรูปแบบพิธีกรรม เพื่อปกป้อง รักษาและคุ้มครองให้คนอ่าข่าอยู่สุขสบาย
การที่คนอ่าข่าส่วนใหญ่เมื่อถูกล้อว่า อีก้อกินหมาแล้วโกรธ นั่นไม่ใช่เพราะคนอ่าข่ารับความจริงในสิ่งที่เป็นไม่ได้ แต่ที่คนอ่าข่าโกรธเพราะเป็นการล้อเลียน ดูถูก เหยียดหยามและไม่ให้เกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แค่คำว่า อีก้อ ก็คือคำอคติเชิงชาติพันธุ์เกินคนอ่าข่าจะรับได้ เป็นเรื่องที่น่าคิดว่ามีหลายชนเผ่าที่รับประทานสุนัขเหมือนกัน แต่เหตุใดจึงไม่ถูกล้อเลียน ซึ่งคำตอบก็คือเรื่องอคติเชิงชาติพันธุ์ที่ชัดเจน คนอ่าข่าทั้งหมดยอมรับในแง่พิธีกรรมมีสุนัขเป็นองค์ประกอบ นั่นหมายความว่าคนอ่าข่ารับประทานเนื้อสุนัขเป็นความจริง แต่คนอ่าข่าไม่ยอมรับในการใช้ความต่างทางวัฒนธรรม มาดูถูก เหยียบหยามและกดขี่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
|
หากศึกษาวิถีเกี่ยวกับอาหารการกินของคนเอเชีย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีหลายชนชาติที่รับประทานเนื้อสุนัขเป็นอาหาร เช่น ชนชาติจีนนิยมเอาเนื้อสุนัขมาตุ๋นยาสมุนไพร เพราะเชื่อว่าบำรุงร่างกาย คนชนชาติเวียดนาม นิยมกินเนื้อสุนัข โดยเฉพาะในฤดูหนาวเพราะเชื่อว่าทำให้ร่ากายอบอุ่น ในปัจจุบันที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนามมีภัตตาคารอาหารเนื้อสุนัขจำนวนมากและเป็นที่ยอมรับในสังคมเวียตนาม
เมื่อพิจารณามองความต่างในด้านวัฒนธรรม คนไทยนิยมกินหมูเป็นอาหาร ปรุงทั้งลาบ ลู่ แกง ต้ม ทอด ฯลฯ เป็นเรื่องปกติสำหรับคนไทยที่พบเจอกับอาหารที่มีหมูเป็นองค์ประกอบเพราะสังคมไทยเป็นสังคมกินหมูและยอมรับแต่หมูในสังคมมุสลิมนั่นเป็นเรื่องแปลกและบาปอย่างมหันต์ เพราะสังคมมุสลิมไม่รับประทานเนื้อหมู เช่นเดียวกันในสังคมผู้ที่นับถือฮินดู นับถือวัวที่เปรียบเสมือนแม่บังเกิดเกล้า จึงไม่รับประทานเนื้อวัว
ดังนั้น สังคมและศาสนาอิสลามห้ามไม่ให้รับประทานหมู และฮินดูไม่รับประทานเนื้อวัว ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก อีกเช่นกัน การที่คนอ่าข่า คนจีน (บางกลุ่ม) หรือคนเวียดนามที่รับประทานสุนัขก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการเป็นสังคมมีกฎกติกา ความเชื่อเฉพาะ ซึ่งเป็นข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติตามที่สังคมให้กระทำหรือให้ละเว้น ปฏิบัติกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรม ค่านิยมและความเชื่อ การไม่เคารพวัฒนธรรมที่หลากหลายและเอาความต่างทางวัฒนธรรมมาล้อเลียน ดูหมิ่น หรือกดขี่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ นั่นยอมเกิดปัญหาอย่างแน่นอน เพราะฉนั้นจะกลายเป็นปัญหาอคติเชิงชาติพันธุ์ไป
อารมณ์ ความรู้สึกเกี่ยวกับอคติเชิงชาติพันธุ์ในลักษณะนี้คนอ่าข่าเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะนั่นคือความเจ็บปวด ความอับอาย ความแค้น ถูกสังคมมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร และการถูกปฏิบัติอย่างคนไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะคนอ่าข่ารับประทานเนื้อสุนัขเท่านั้นเอง ความผิดพลาดในด้านข้อมูล นำมาสู่การกดขี่เชิงชาติพันธุ์เกี่ยวกับอ่าข่าเกิดขึ้นในประเทศไทย ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ – ๒๕๑๐ มีนักคิดนักเขียนได้ขึ้นไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอ่าข่า และได้นำข้อมูลเสนอสู่สายตาสาธารณะชน จะด้วยเจตนาเพื่อประการใดก็ตาม แต่การเสนอข่าวเกี่ยวกับอ่าข่ามีความผิดพลาดในด้านข้อมูลเกิดขึ้นอย่างมากมาย และคนอ่าข่ากลายเป็นคนแปลกในสังคมไทยตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ผ่านกระบวนการศึกษาข้อมูลที่ดีพอ การศึกษาข้อมูลของอ่าข่าในช่วงดังกล่าว
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เป็นการศึกษาข้อมูลที่ไม่ได้ครบคลุมหลายพื้นที่ และมีปัญหาการสื่อสารด้านภาษา นักเขียนร่วมสมัยที่เขียนข้อมูลอ่าข่า ไม่ว่าจะเป็นบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ที่เสนอในหนังสือ ๓๐ ชาติในเชียงราย, ชาวเขาในประเทศไทย หรือนักเขียนรุ่นหลัง อย่างปิยพงษ์ ในหนังสือบาดใจคนอ่าข่า “ เรื่องลับอีก้อ “ มีความผิดพลาดในด้านข้อมูลเกิดขึ้นอย่างมากมาย และที่สำคัญข้อมูลทั้งหมดเขียนในเขตอำเภอแม่สรวย แม่สาย และอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย จะสังเกตได้ว่ารูปภาพเกือบทั้งหมดเป็นของกลุ่มอู่โล้อ่าข่า การศึกษากลุ่มอ่าข่า จึงกระจุกอยู่แต่เฉพาะอำเภอดังกล่าวข้างต้น และเน้นข้อมูลเขตอำเภอแม่จัน ซึ่งไม่ได้ไปไกลเกินบ้านแสนใจ เหตุผลเพราะในด้านความปลอดภัย จึงไม่สามารถเข้าไปพื้นที่ข้างในได้ เนื่องจากเป็นเขตอิทธิพลของชนกลุ่มต่างๆ อาจทำให้กระบวนการศึกษาข้อมูลมีปัญหาและขาดความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามจากการเผยแพร่ตามช่องทางสื่อต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลถึงความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ชนเผ่าอ่าข่ากลายเป็นคนแปลก แตกแยกจากสังคมไทยเพราะความเกินจริงของข้อมูล
ย้อนกลับมาเกี่ยวกับวิถีการรับประทานอาหารของคนอ่าข่า โดยเฉพาะในเรื่องของการรับประทานสุนัข ตามสุภาษิตที่คนอ่าข่ากล่าวไว้ว่า
“หากบ้านไหนสมบูรณ์ไปด้วยเนื้อ ก็เพราะความขยันของพ่อบ้าน แต่หากบ้านไหนอุดมไปด้วยพืชผักสีเขียว ก็เพราะแม่บ้านเก่ง”
สุภาษิตบทนี้ของคนอ่าข่า ได้แบ่งถึงหน้าที่ของผู้หญิงและผู้ชายอย่างชัดเจน นั่นคือผู้ชายล่าสัตว์ป่าและผู้หญิงหาพืชผักสีเขียว การล่าสัตว์ป่าแต่ละครั้งของคนอ่าข่าขาดไม่ได้คือสุนัข และเมื่อมีการล่าสัตว์เกิดขึ้นครั้งใด หรือที่เรียกเป็นภาษาอ่าข่าว่า “ส่า แท-เออ” จะมีการแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม นั่นคือกลุ่มมีอาวุธปืนหรือหน้าไม้ กับไม่มีหน้าไม้และอาวุธปืน สำหรับกลุ่มที่มีอาวุธปืนหรือหน้าไม้จะไปซุ่มรอตามทางที่คาดว่าสัตว์ป่าจะวิ่งออกมา ส่วนกลุ่มที่ไม่มีอาวุธปืน ก็จะวิ่งไล่พร้อมกับสุนัข เพื่อให้สัตว์ป่าเกิดตกใจและวิ่งหนีไปหากลุ่มที่มีอาวุธ อ่าข่าเรียกกลุ่มที่วิ่งไล่สัตว์ป่านี้ว่า “ส่า เตอง แต่ – เออ” และเมื่อได้สัตว์ป่าไม่ว่าจะเป็นหมู่ป่า เก้ง กวาง หรืออื่นๆ จะต้องแบ่งเนื้อให้กับผู้ล่าสัตว์ป่า และแบ่งให้กับสุนัข (เจ้าของสุนัขรับ ) เปรียบเสมือนคน ๆ หนึ่ง เมื่อกลับไปถึงบ้านเจ้าของบ้านก็จะทำกับข้าวและแบ่งเนื้อสัตว์ป่าให้สุนัขกิน
จากตำนานการเล่าขาน เรื่องอ่าข่าที่เลี้ยงสุนัขเป็นส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีเรื่องเชื่อหรือการประกอบพิธีกรรม โดยใช้สุนัขเป็นองค์ประกอบ ตามความเชื่อของคนอ่าข่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ ปกป้องเจ้าของ จากความเชื่อนี้คือส่วนสำคัญที่คนอ่าข่านำสุนัขเป็นองค์ประกอบในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ดังนี้
ในสังคมอ่าข่าสุนัขมีบทบาทมาก เป็นเพื่อนคู่ใจเมื่อล่าสัตว์ เป็นยามเผ้าบ้านที่ซื่อสัตย์ ป้องกันเจ้าของจากอันตรายและเป็นส่วนสำคัญในการประกอบพิธีกรรม สุนัขจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการดำเนินชีวิตของคนอ่าข่างอย่างแท้จริง
“อะขื่อ”ในภาษาอ่าข่าคือชื่อสุนัข จากตำนานและความเชื่อของคนอ่าข่า มักปรากฏเสมอเกี่ยวกับเรื่องสุนัข เช่นเรื่อง“หยะ โบว้ย ก๊า ขื่อ ช่อ-เออ” แปลว่า หมูเขี่ย (ปาก) สุนัขกระโดด มีเรื่องราวที่คนอ่าข่าเล่าขานกันมากว่าสองพันปีว่า
“ มนุษย์ได้ใช้ให้หมูกับสุนัขไปทำงานในไร่ เมื่อไปถึงในไร่ หมูก็ใช้ปากในการเขี่ยและขุดเอาหญ้าออก ส่วนสุนัขก็นอนอยู่ใต้ตอไม้ แล้วเอาลิ้นออกหายใจแรงๆ เพราะความร้อนจ้าของแสงแดด ส่วนหมูถึงร้อนจ้าก็อดทนและทนทำงานจนใกล้พระอาทิตย์ตกดิน เมื่อกลับไปถึงบ้าน หมูก็ได้ฟ้องกับมนุษย์ว่าสุนัขไม่ทำงาน มนุษย์จึงได้เรียกหมูกับสุนัขมาคุยกัน และเกิดการโต้เถียงกัน และลงท้ายด้วยการท้าทายกัน และคนจึงได้กล่าวว่า จะไปพิสูจน์ความจริงกันในวันพรุ่งนี้แต่เช้า แต่หมูได้ท้าว่าหากหมูไม่ได้ทำงาน ก็จะยอมเป็นอาหารให้คนกิน ส่วนสุนัขได้ท้าว่า หากไม่ได้ทำงาน จะไม่กินข้าว ในกลางคืนสุนัขได้ย่องไปที่ไร่และวิ่งบริเวณที่หมูได้ขุดหญ้าออก แล้วกลับมานอน วันรุ่งขึ้นคนได้พาหมูและสุนัขไปที่ไร่ เพื่อไปดูหลักฐาน เมื่อไปถึงปรากฏว่าบริเวณพื้นที่ที่มีการขุดหญ้าออกเต็มไปด้วยรอยเท้าสุนัข ไม่ปรากฏรอยเท้าหมู มนุษย์จึงตัดสินว่าสุนัขทำ และหมูไม่ได้ทำ และได้ทำตามสัญญา นั้นคือฆ่าหมูกินเป็นอาหาร ส่วนสุนัขมนุษย์ได้พูดว่า จะให้สุนัขกินข้าวก่อนทุกคนในครอบครัว”
จากตำนานดังกล่าวคนอ่าข่าได้ถือปฏิบัติกันมา เมื่อมีการนึ่งข้าวสุกทุกครั้ง ก็ต้องเอาข้าวมาใส่จานให้สุนัขกินก่อนเสมอ จากตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับสุนัข ไม่ปรากฏว่าฆ่าสุนัขเลี้ยงแขก นอกจากการล้มหมูเลี้ยงเท่านั้น การที่มีหนังสือ เช่น ๓๐ ชาติในเชียงรายเขียนไว้ว่า คนอ่าข่าต้อนรับแขกด้วยเนื้อสุนัขดำ จึงไม่เป็นความจริงตามตำนานและวิถีชีวิตจริง คนอ่าข่าจะไม่ต้อนรับแขกด้วยเนื้อสุนัขไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตาม และในมารยาทของคนอ่าข่าก็ไม่มีการบังคับให้รับประทานเนื้อสุนัขแต่อย่างใด การเขียนในลักษณะนี้ จึงเป็นการเขียนเกินความเป็นจริง และสร้างภาพให้คนอื่นเข้าใจอ่าข่าผิดๆ
ความนิยมในการรับประทานเนื้อสุนัขของชาวอ่าข่านั้นเป็นจริง แต่การปรุงแต่งก่อนรับประทานเป็นเรื่องสำคัญมาก การปรุงจะเน้นเครื่องเทศประเภทข่า ขิง ตะไคร้เพื่อดับกลิ่น และจะเพิ่มเครื่องเทศประเภทที่มีความหอม เช่น ผักชีฝรั่ง ใบโหระพา ก่อนที่จะมีการฆ่าสุนัขก็ไม่มีพิธีกรรมแปลก ๆ ดังที่เขียนในสื่อต่าง ๆ ว่าต้องมีการพาสุนัขเดินรอบบ้าน ๓ รอบ จะมีก็แค่หลังฆ่าแล้วก็จะมีการนำไปเผาขนให้ไหม้เกรียม ให้เหลือแค่หนังไหม้ดำ นำมาชำระล้างขูดหนังให้สะอาดกลายเป็นสีเหลืองอ่อน แล้วค่อยมาชำแหละประกอบอาหาร ชาวอ่าข่าไม่นิยมทำสุนัขไป ลาบหรือย่าง และไม่กินสุนัขสุก ๆ ดิบ ๆ จะต้องปรุงคั่วให้แห้ง ไม่ให้มีน้ำเท่านั้น ความนิยมรับประทานเนื้อสุนัขไม่ได้ทำให้คนอ่าข่ากลายเป็นโจรหรือหัวขโมยตามที่หนังสือหลายเล่มเขียน เพราะนิสัยและสังคมของคนอ่าข่าการขโมยของผู้อื่นถือว่าร้ายแรง แต่ตรงกันข้ามคนอ่าข่ามักจะเอาผลผลิตทางการเกษตรที่ได้จากบนดอยมาแลก เช่น พริกกับสุนัข หรือไม่ก็ใช้เงินซื้อเลย ซึ่งการที่เขียนข้อมูลว่าคนอ่าข่าขโมยสุนัขชาวบ้าน จนชาวบ้านไม่กล้าปล่อยสุนัขออกมาเดินเพ่นพ่าน หรือเมื่อคนอ่าข่าไปบ้านคนเมืองสุนัขจะรุมเห่าคนอ่าข่าเพราะกินสุนัข ทั้ง ๆ ที่สุนัขเหล่านั้นไม่เห่าชนเผ่าอื่น ๆ การเขียนข้อมูลในลักษณะนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้คนทั่วไปมองคนอ่าข่าในแง่ไม่ดีและเขียนให้คนอ่าข่ากลายเป็นจำเลยในสังคม |
จากตำนานการเล่าขาน เรื่องอ่าข่าที่เลี้ยงสุนัขเป็นส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีเรื่องเชื่อหรือการประกอบพิธีกรรม โดยใช้สุนัขเป็นองค์ประกอบ ตามความเชื่อของคนอ่าข่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ ปกป้องเจ้าของ จากความเชื่อนี้คือส่วนสำคัญที่คนอ่าข่านำสุนัขเป็นองค์ประกอบในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ดังนี้
๑) เจ้อ ขื่อ ตี่-เออ การสร้างบ้านในพื้นที่ใหม่ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องประกอบพิธีกรรม เจ้อ ขื่อ ตี่-เออ ตามความเชื่อของคนอ่าข่าสุนัขเป็นสัตว์ที่ปกป้องเจ้าของและส่งสัญญาณให้เจ้าของได้รับทราบถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น ตลอดถึงการต่อสู้ของสุนัขทำให้สิ่งชั่วร้ายไม่กล้าเข้ามาในบริเวณบ้านและทำร้ายผู้คนในบ้าน การสร้างบ้านในพื้นที่ใหม่ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นพื้นที่ดีหรือไม่ อาจมีสิ่งไม่ดีสิงสถิตอยู่ ทั้งเรื่องผีชั่ว หรือโรคภัยไข้เจ็บ คนอ่าข่าจึงมีการใช้สุนัขเป็นองค์ประกอบในการสะกดสิ่งไม่ดีไม่ให้มาทำร้ายครอบครัวที่ไปสร้างบ้านในบริเวณนั้น เมื่อเริ่มขุดหลุมเพื่อฝังเสา ชาวอ่าข่าก็จะนำสุนัขมาทำพิธีในบริเวณพื้นที่สร้างบ้านใหม่ ตามความเชื่อของคนอ่าข่าที่ว่า “ การประกาศความเป็นชายชาตรี คือการสร้างจั่วบ้านได้” เช่นกันการประกาศการมีชัยเหนือสิ่งชั่วร้ายในกาสร้างบ้านในพื้นที่ใหม่ นั่นคือการประกอบพิธีกรรม เจ้อ ขื่อ ตี่-เออ นั่นเอง
๒) ล่า ตู่ เป่อ-เออ คือพิธีกรรมเรียกขวัญอย่างหนึ่ง ตามความเชื่อของคนอ่าข่า ในร่างกายมนุษย์เราไม่ได้มีเพียงเนื้อหนัง หรือที่คนอ่าข่าเรียกว่า “ม้อ โตว” เท่านั้น แต่จะมีวิญญาณสถิตอยู่ อ่าข่าเรียกว่า “ สะ ล้า” ทั้งม้อโตว และ สะล้ามีส่วนสัมพันธ์กัน กล่าวคือร่างกายจะไม่สบาย หากสะล้าตกใจ และเมื่อร่างกายขาดลมหายใจ สะล้า ก็จะออกจากร่างกายไปหาอะเผ่วอะผี่ นั่นหมายถึงการตายของคนอ่าข่า อ่าข่ามีความเชื่อหลังความตายว่าจะไม่สูญหายไป แต่ชีวิตจะเวียนว่ายตายเกิด เมื่อตายไปแล้วจะกลับไปหาอะเผ่วอะผี่ และเมื่อถึงเวลาก็จะกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีก เมื่อเด็กเกิดออกมา หากมีรอยแผลเป็นหรือมีใบหน้าคล้ายกับบุคคลใด คนอ่าข่าเชื่อว่าคนนั้นกลับชาติมาเกิดใหม่
พิธีกรรม ล่า ตู่ เป่อ –เออ เป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับขวัญของคน เมื่อไปพบเจอเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจ อ่าข่าเชื่อว่าสะล้าจะหนีออกจากร่างกายคน ทำให้คนนั้นเกิดไม่สบาย ตกใจง่าย กินข้าวไม่อร่อย เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปหาร่างทรง หรือที่คนอ่าข่าเรียกว่า “ยี่พ่า” แล้วให้ทำนาย หากในชุมชนใดไม่มียี่พา ก็ให้ไปหา “พิ้มา” หมอสวดพิธีกรรมชาวอ่าข่า ให้ทำพิธีกรรมทายเสี่ยง เรียกเป็นภาษาอ่าข่าว่า “ แช้ สี่ ชิ-เออ” และหากทำนายว่าขวัญหนีออก ให้ประกอบพิธีกรรม ล่า ตู่ เป่อ-เออ ต้องกลับบ้านไปเตรียมองค์ประกอบตามคำแนะนำของพิ้มาหรือยี่พา
การประกอบพิธีกรรมล่า ตู่ เป่อ –เออ มีหลายระดับ ซึ่งแต่ละระดับดูจากอาการของคนที่ไม่สบายว่าเป็นหนักหรือเบา (ตามคำทำนาย) หากไม่สบายมาก ก็จะใช้ห่าน หรือ “ห่า กู้”และหมูหรือสุนัข และถ้าเป็นกลางก็สามารถใช้หมูหรือสุนัขอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือใช้ทั้งสองอย่างคู่กันก็ได้ การประกอบพิธีกรรมล่า ตู่ เป่อ-เออ ทำหนึ่งวัน สามารถเลือกช่วงได้ระหว่างเช้า กับเย็น โดยมีองค์ประกอบดังนี้ ๑) เหล้า (ไม่ใช่สุรากลั่น แต่เป็นน้ำที่เอามาจาก จี้ ปา จี้ จู ) ๒) ขิงกับชา ๓) กู่ชิกับเกลือ ๔) อี้จู่อี้เซาะ หรือน้ำบริสุทธิ์จากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ๕) ไข่กับข้าวต้ม หรือที่อ่าข่าเรียกว่า “ห่อเซาะ” และ ๖) ห่าน หมู สุนัข (ฆ่าก่อน ) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมด เมื่อองค์ประกอบพิธีกรรมครบแล้ว พิ้มาก็นำองค์ประกอบเหล่านี้ไปใต้ถุนบ้าน ไปเสาแรกที่ขุดตอนสร้างบ้าน แล้วพิ้มาก็สวดจนจบ จากนั้นก็นำห่าน หมู สุนัข ที่ใช้เป็นองค์ประกอบไปชำแหละแล้วประกอบปรุงเป็นอาหารกันกิน
๓) ภู แห่ แง-เออ การที่สัตว์ป่าเข้ามาในชุมชน คนอ่าข่าถือว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นในชุมชน และถือว่าสัตว์ป่าพบสิ่งไม่ดี จึงเร่งรีบทำให้หลงเข้ามาในชุมชน เพราะปกติสัตว์ป่าจะไม่เข้ามาในชุมชน การเข้ามาจึงผิดปกติ เรื่องอาเพศจะตามมา ธรรมชาติของสัตว์ป่าทุกชนิดจะกลัวคน จะไม่อยู่ในที่คนพลุกพล่าน เมื่อสัตว์ป่า เช่น กวาง เปี๊ยะฮี้ (เป็นสัตว์ป่าอยู่ในตระกูลแมวป่า ) เข้ามาในชุมชน ผู้พบเห็นดังกล่าวจะต้องนำเรื่องไปบอกผู้เฒ่าหรือผู้นำตำแหน่งทางวัฒนธรรมของคนอ่าข่า จากนั้นผู้อาวุโสจะไปบ้าน โจ่วมา (ผู้นำประกอบพิธีกรรมประจำหมู่บ้าน) และให้เตรียมองค์ประกอบดังนี้ ๑) หมูหรือสุนัขอย่างใดอย่างหนึ่ง ๒) เตาถ่าน หรือที่คนอ่าข่าเรียกว่า “ห่าแล้” ๓) ปลาย ข้าวสารผสมแกลบอ่อน ๔) เงินแถบ ๑ เหรียญ ๕) ไก่ (ถ้าใช้ไก่ตัวผู้ต้องเป็นสีขาว ไก่ตัวเมียสีดำ) ๖) น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และ ๗) เหล้า ( เหล้าจา จี้ ปา จี้ จู) เมื่อองค์ประกอบครบแล้ว ก็ไปที่ประตูหมู่บ้าน ในทิศตะวันออก หรือที่คนอ่าข่าเรียกว่า “ โดว แห่” พอไปถึงประตูหมูบ้าน ก็จะมีการฆ่าหมูหรือสุนัข จากนั้นก็วางองค์ประกอบทั้งหมดไว้กับพื้นแล้วพี้มาก็ยืนสวดที่นั่น การทำพิธีกรรมนี้ หากชุมชนใดไม่มีพิ้มา ก็จะไปเชิญพี้มาจากหมู่บ้านอื่น ๆ มาสวด แต่การมาสวดของพี้มาในพิธีกรรมนี้จะต่างจากพิธีกรรมทั่วไป นั่นคือจะไม่เอาหอก หรือที่คนอ่าข่าเรียกว่า “กึ่ง” มา เพราะการเอากึ่งมานั่นหมายถึงมีการล้มควาย ซึ่งการล้มควายโดยใช้หอกจะเกิดขึ้นเพียงกรณีเดียวนั้นคืองานศพเท่านั้น
เมื่อพิ้มาสวดเสร็จแล้ว ผู้ไปร่วมในพิธีกรรมก็จะช่วยกันเอาองค์ประกอบมาประกอบเป็นอาหารกินกันในบริเวณประตูหมู่บ้านนี้
๔) ขื่อ บา โคว๊ ทอ-เออ คนอ่าข่าอาศัยอยู่บนภูเขา ห่างไกลความเจริญ ไม่มีโรงพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐดูแล ย่อมมีโอกาสในการเสี่ยงจากอันตรายต่างๆมากกมาย อันตรายที่เกิดจากสัตว์ป่า ขโมย โจร การปล้น หรือแม้กระทั่งเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมานั่นหมายถึงความสูญเสียของคนบนภูเขาอย่างเช่นคนอ่าข่า เป็นเหตุให้มีการแสดงออกมาในรูปแบบพิธีกรรมตามความเชื่อ
พิธีกรรม ขื่อ บา โคว๊ ทอ-เออ เป็นหนึ่งในพิธีกรรมที่สร้างขวัญและกำลังให้กับคนอ่าข่า ให้มีแรงใจต่อสู้กับสิ่งไม่ดีต่างๆ ก่อนถึงหมู่บ้านอ่าข่า ที่ตั้งไว้ในบริเวณเชิงดอย หรือภูเขา ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของหมู่บ้าน มีศาสนสถานที่สำคัญ นั้นคือประตูหมู่บ้าน หรือเรียกเป็นภาษาอ่าข่าว่า “ล่อขึ่ง” และบางหมู่บ้านอาจพบหัวสุนัขตากแห้งไว้ที่ซุ้มที่สร้างไว้ใกล้ ๆ ประตูหมู่บ้าน ซึ่งหัวสุนัขที่วางไว้ได้ผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนอ่าข่า การตากหัวสุนัขไว้บนซุ้มประตูหมู่บ้าน อาจสร้างความแปลกประหลาดกับคนที่เข้าไปเที่ยวบ้านคนอ่าข่า แต่สำหรับคนอ่าข่าแล้ว ซุ้มและหัวสุนัขนั่นคือสัญลักษณ์ของความสูญเสียที่เกิดขึ้น
พิธีกรรมนี้จะไม่เกิดขึ้นทุกชุมชน การประกอบพิธีกรรมนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ไก่ล้มตายจำนวนมากโดยไม่ทราบสาเหตุ หมูตายเป็นเบือ คนตายในระยะถี่ ๆ หรือคนในชุมชนเป็นโรค “อ้า สี่ โตว่ มา” จะประกอบพิธีกรรมทันที สำหรับองค์ประกอบในการประกอบพิธีกรรมมีดังนี้ ๑) สุนัข ๒) เตาถ่าน ๓) ปลาย ข้าวสารผสมแกลบอ่อน ๔) เงินแถบ ๑ เหรียญ ๕) ไก่ (ถ้าใช้ไก่ตัวผู้ต้องเป็นสีขาว ไก่ตัวเมียสีดำ) ๖) น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และ ๗) เหล้า (เหล้าจา จี้ ปา จี้ จู) เมื่อองค์ประกอบครบก็ไปหา “ แม้ เพ้อง”(พืชชนิดหนึ่ง)มาชักใยยาวๆแลพันรอบหมู่บ้าน เชื่อว่าการมีเชือกแมเพ้อง จะป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชุมชนได้ สิ่งชั่วร้ายข้ามแม่เพ้องไม่ได้ จากนั้นก็สร้างซุ้มและฆ่าสุนัขและเอาส่วนหัวมาตากแห้งบนซุ้มนั้น
ความเชื่อของคนอ่าข่ากับการเอาหัวสุนัขไปตากไว้บนซุ้มนั่นคือสิ่งชั่วร้ายจะตกใจกลัวหัวสุนัขและจะไม่กล้าเข้ามารังครวาญผู้คนในชุมชน ตลอดถึงมีความเชื่อว่าวิญญาณสุนัขจะขับไล่ความชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาทำร้อยผู้คนในชุมชน
หนังสือทั่วไป ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ อะขื่อ บาโคว๊ ทอ-เออ อย่างเช่นในหนังสือเรื่องลับน่ารู้ของอีก้อ หน้า ๑๔๙ เขียนไว้ว่า อะคึ นักปราบผี เกี่ยวกับพิธีกรรม และความเชื่อเกี่ยวกับ อะขื่อ บา โคว๊ ทอ-เออ มีข้อมูลในส่วนที่ถูกและแน่นอนมีส่วนผิดด้วย การเสนอข้อมูลเพียงตอนใดตอนหนึ่ง หรืออันใดอันหนึ่งโดยไม่ได้ให้ข้อมูลครบถ้วน อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อคนอ่าข่าได้ อย่างเช่นเรื่องนี้ ที่งานเขียนทั่วไปไม่ได้พูดถึงความเป็นมา ความเชื่อและมูลเหตุของการเกิดพิธีกรรม ทำให้ผู้รับข่าวสารทั่วไปไม่สามารถทราบถึงบ่อเกิดแห่งพิธีได้ เมื่ออ่านจบจึงได้แต่คิดว่าแปลกและฝังจำอย่างที่ได้รับข่าวสารมา ซึ่งแน่นอนที่สุดภูมิปัญญาหรือ กุศโลบายต่างๆ ที่แฝงไว้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญได้ขาดหายไป
ในพิธีกรรมอะขื่อ บาโคว๊ ทอ-เออ จากแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอ่าข่าที่ต่างๆ ยังได้กล่าวถึงหมอผี และ” ต้าแล้”ของคนอ่าข่าอย่างไม่เข้าใจ ในสังคมตามโครงสร้างการปกครองของคนอ่าข่าไม่มีหมอผี มีเพียงตำแหน่งทางวัฒนธรรม ซึ่งแยกตามความชำนาญเฉพาะด้าน หากชำนาญในด้านการตีเหล็ก ก็เรียกว่า “ปาจี่” ชำนาญในด้านการประกอบพิธีกรรม เรียก “โจว่มา” ชำนาญในด้านร่างทรง เรียก “ยี่พ่า “ ชำนาญในด้านเสี่ยงทาย เรียกว่า “ซามา” ชำนาญในด้านการว่าความ เรียกว่า “ คามา” ชำนาญในด้านการสวด เรียกวา “พิ้มา” ฯลฯ การใช้คำว่า “หมอผี”กับตำแหน่งทางวัฒนธรรมเหล่านี้จึงเป็นเรื่องไม่ถูก เพราะตำแหน่งเหล่านี้ไม่ใช่หมอผี และที่สำคัญผู้นำเหล่านี้กลัวผีเหมือนกัน หลายครั้งการใช้คำจะด้วยความไม่เข้าใจหรือเขียนตามงานเขียนอื่น ๆ ก็ตาม ทำให้ความหมายที่แท้จริงนั้นผิดเพี้ยนไป ซึ่งเมื่อความหมายที่แท้จริงผิดเพี้ยน สาระต่างๆที่ตามมาจึงผิดเพี้ยนตาม อย่างเช่นในหนังสือเรื่องลับน่ารู้ชาวอีก้อ ได้กล่าวถึงต้าแล้หรือตาแหลวไว้ดังนี้
“เขตปลอดผี” ทำด้วยตอก หักขัดหรือสานไขว้เป็นมุม ติดไว้ตามเสาซุ้มหลาย ๆ อัน ซึ่งความหมายคือ เป็นสถานที่หวงห้าม หรือห้ามผีร้ายกล้ำกรายเข้ามาโดยเด็ดขาด ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “ดาแล้ะ”
จากข้อความดังกล่าว เป็นการเขียนเกี่ยวกับดาแล้ของคนอ่าข่าอย่างผิด ๆ และนำมาสู่ความเข้าใจผิดๆ ปฏิบัติผิดๆ เพราะแท้จริงแล้วการทำต้าแล้ของคนอ่าข่าไม่ได้ทำเพื่อป้องกันผีตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดเพราะคนอ่าข่าเชื่อว่าผีหรือสิ่งชั่วร้ายไม่สามารถเข้ามาจากประตูหมู่บ้านได้ การทำต้าแล้ของคนอ่าข่าจึงเป็นสัญลักษณ์และกุศโลบาย กล่าวคือเป็นเรื่องของการบ่งบอกถึงเขตพิธี เมื่อคนอ่าข่าเห็นตาแล้ก็ทราบทันทีว่าสถานที่นั้นเป็นเขตพิธีหรือมีการประกอบพิธีกรรมและยังเป็นเรื่องกุศโลบายที่คนอ่าข่าใช้สอนลูกหลานให้อนุรักษ์ป่า และปฏิบัติต่อธรรมชาติอย่างเป็นมิตร คนอ่าข่าเมื่อเห็นต้าแล้แล้วจะไม่เข้าใกล้ ไม่เอามือไปจับ ไม่เอาของมีคม เช่นมืด ขวาน หรืออื่นๆ ทำลายต้นไม้ในบริเวณนั้น และผู้คนจะไม่มีการบ้วนน้ำลายหรือการพูดจาในทางผิดจารีตประเพณีหรือคำหยาบคายในบริเวณนั้นด้วย ฉะนั้นต้าแล้ของคนอ่าข่า จึงไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันผีอย่างที่เข้าใจหรือกล่าวอ้างในแหล่งข้อมูลทั่วไป
เรื่องราวการรับประทานเนื้อสุนัขของคนอ่าข่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปราศจากความเชื่อหรือพิธีกรรม แต่ที่เกิดขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรมโดยเอาสุนัขเป็นองค์ประกอบ คนอ่าข่าจึงรับประทานสุนัขตามการประกอบพิธีกรรม ซึ่งหากศึกษาอย่างมีใจเป็นกลางถึงวิถีวัฒนธรรมการกินสุนัขของคนในเอเชีย ไม่ได้มีเพียงคนอ่าข่าเท่านั้นแต่มีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นคนจีน (บางกลุ่ม) คนเวียดนาม และนับว่าการรับประทานเนื้อสุนัขขยายวงกว้างไปสู่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่นคนพื้นราบหรือคนไทย วัฒนธรรมการกินสุนัขในสังคมอ่าข่า คนจีน หรือเวียดนาม เกิดขึ้นท่ามกลางความเชื่อในด้านการบริโภคอาหารหลากหลาย และนำมาสู่การบริโภคที่ยอมรับในสังคมดังกล่าว
อย่างไรก็ตามการรับประทานเนื้อสุนัข อาจเป็นเรื่องแปลกของคนในสังคมอื่นๆ แต่ไม่ใช่เป็นความผิดของคนอ่าข่า คนจีน หรือเวียดนาม และจะไม่ยอมรับให้ความหลากหลายทางการบริโภคให้มาตัดสินเรื่องคุณค่าความเป็นคน การดูถูก การดูแคลน และการปฏิบัติต่อคนอ่าข่าอย่างไร้มนุษยธรรม เพราะนั้นคือการไม่เคารพการมีอยู่ของคนอ่าข่า การไม่เคารพความหลากหลายวัฒนธรรม และมีอคติเชิงชาติพันธุ์อย่างชัดเจน ป. อายิ |
ขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจาก โครงการพิพิธภัณฑ์ชนเผ่าออนไลน์