ฟอสซิลไม้ หรือ หินเสี้ยน
ตามที่ได้เกริ่นไว้ในหัวข้อ หมวดสินค้า>ฟอสซิล ถึงการเกิดขึ้นของฟอสซิลแล้วนั้น
ในส่วนที่ผมได้มีโอกาสไปพบเจอนั้น มันมีที่มาจากแดนที่ราบสูง คือ “อีสาน” คนท้องถิ่นที่นั่นรู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อเรียก “หินเสี้ยน” ซึ่งปรากฏพบได้ทั่วไปตามแหล่งที่เป็นภูเขา เนินเขา และริมห้วยหนองคลองบึง
ผมได้มีโอกาสไปย้อนรอยที่จังหวัดขอนแก่นอย่างไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน อาจเป็นเพราะอานิสงส์ผลบุญจากการที่ได้เป็นเจ้าภาพไปทำบุญทอดกฐินที่วัดเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 ก็เป็นได้ ?....
กองหินเสี้ยน
มองเห็นลายไม้ชัดเจน
หลังจากเสร็จการถวายผ้ากฐินแล้ว ผมมีโอกาสเดินเล่นชมบรรยากาศรอบๆวัด ก็ได้พบเข้ากับกองหินแปลกๆอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง จากการที่เคยรู้จักกับหินลักษณะแบบนี้มาก่อนจึงรู้เลยว่า มันคือ หิน”ฟอสซิลไม้”นั่นเอง ซึ่งจากการได้พูดคุยกับท่านเจ้าอาวาส และมรรคทายกวัด จึงได้พบของสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากฟอสซิลไม้นี้
เครื่องประดับโบราณทำจากทองแดง
กำไลทองแดง
ฟอสซิลฟันกรามสัตว์ชนิดหนึ่ง
เห็นฟันชัดเจน
นั่นคือของโบราณที่มีการขุดพบใกล้ๆบริเวณวัด (ที่มีอาณาเขตเป็นร้อยไร่) ซึ่งท่านเจ้าอาวาสเมตตานำมาให้ชม ก็มี เช่น กำไลทองแดง และเครื่องประดับบางอย่าง และที่สำคัญคือ ฟอสซิลกระดูกกรามของสัตว์ชนิดหนึ่งเพราะมีฟันอยู่เป็นแผงเลย ผมตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เห็นสิ่งของแปลกๆและหาดูได้ยาก เมื่อท่านเห็นว่าผมสนใจมาก ลุงมรรคทายกวัดที่คุ้นเคย(เพราะไปนอนที่บ้านเขา)จึงเอ่ยปากชักชวนให้ไปดูแหล่งขุดพบ “ฟอสซิล ไดโนเสาร์”ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก งานนี้มีหรือที่ผมจะปฏิเสธ
หลังจากเตรียมตัวกันไม่นานนัก หลังเที่ยงลุงมรรคทายกก็พาผมออกเดินทางโดยรถกระบะคันเก่งของผม มุ่งหน้าสู่ “แดนโบราณ” โดยไม่รอช้าเพราะผมมีเวลาอยู่แค่วันนี้วันสุดท้าย และต้องเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น
จากบ้านลุงมรรคทายก ด้วยเส้นทางที่เป็นทางลูกรังแคบๆ พอรถวิ่งสวนกันต้องชะลอความเร็ว ลัดเลี้ยวทอดผ่านบ้านผู้คนในแบบชนบท ผ่านสวน ไร่นา และเริ่มผ่านเนินเขาเตี้ยๆไปเรื่อยๆ ในระหว่างทางผมเจอเศษฟอสซิลไม้ชิ้นเล็กเท่าฝ่ามืออยู่บนถนนจึงหยุดรถลงไปเก็บไว้ ซึ่งแสดงว่าแถวนี้ต้องมีอีกเยอะแน่ๆ ลุงมรรคทายกบอกว่าในลำห้วยที่เราขับรถเลียบมา มีคนไปเจอฟอสซิลพวกนี้เป็นชิ้นใหญ่ๆแล้วเก็บไปจัดสวนกันเยอะแยะ แหม..มันน่าอิจฉาจริงนะคนบ้านนี้ นี่ถ้ามีเวลาอีกสักวันผมคงต้องลงไปลุยน้ำในลำห้วยเพื่อหาฟอสซิลเป็นแน่เลย เราใช้เวลาราวสี่สิบนาทีก็ถึงจุดที่ต้องจอดรถลงเดินเท้า ด้วยความที่ลุงมรรคทายกเองก็ไม่ค่อยชินกับภูมิประเทศแถบนี้ จึงไม่รู้ว่าจุดที่เขาขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์นั้นอยู่ตรงไหนกันแน่
เส้นทางที่ขรุขระเพราะเศษฟอสซิล
ชิ้นนี้เก็บบนถนนระหว่างเดินทาง หนัก 700 กรัม(7ขีด)
สะพานข้ามลำห้วย
ระหว่างทางใกล้จุดที่พบชิ้นแรก
ลุงมรรคทายกกับคนเลี้ยงวัว นำทาง
โชคดีมากที่เราพบคนเลี้ยงวัวสองสามคนแถวนั้นจึงเข้าไปสอบถาม ทีแรกเขาปฏิเสธที่จะบอกจุดดังกล่าวให้ โดยอ้างเหตุผลที่ว่า ทางคณะผู้ขุดค้นซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากส่วนราชการที่ทำหน้าที่ขุดค้นสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไป เนื่องด้วยการขุดค้นยังไม่เสร็จเรียบร้อย อาจทำให้แหล่งขุดค้นของเขาเสียหายได้ แต่เมื่อเราขอร้องว่าเข้าไปเพื่อดูเท่านั้นและเราไม่มีเครื่องมือการขุดค้นเลย นอกจากกล้องถ่ายภาพตัวเดียว เขาจึงยอมนำทางพาไปดู ต้องขอบคุณคนเลี้ยงวัวไว้ ณ.โอกาสนี้ด้วย
จากการนำทางของคนเลี้ยงวัว ผมและลุงมรรคทายกจึงได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับหลุมขุดค้นฟอสซิลหลังจากเดินแหวกหญ้ารกๆเข้าไปอีกราว 100 เมตรจึงถึงจุดดังกล่าว
หลุมแรกที่เจอ
อีกหลุมหนึ่ง
ใครเห็นอะไรบ้างเอ่ย?
แต่ผมก็ต้องผิดหวังเล็กน้อย จากที่เคยจินตนาการไว้ว่าจะเจอซากฟอสซิลขนาดใหญ่เยอะๆก็หดลง เมื่อคนเลี้ยงวัวชี้ให้ดูหลุมที่มีร่องรอยการขุด แต่ยังไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก นอกจากแนวของกระดูกเพียงเล็กน้อย นอกนั้นจมอยู่ในพื้นดิน ไว้เขาขุดเสร็จเมื่อไหร่ ผมคงต้องไปอีกรอบแน่ๆ
ฟอสซิลหอยตรงนี้เห็นไม่ค่อยชัด
ร่องรอยของฟอสซิลหอยสองฝาริมลำห้วยข้างทาง
เรากลับออกมาหลังจากถ่ายภาพไว้เล็กน้อย และเดินทางกลับทางเดิม ช่วงระหว่างทางกลับ ลุงมรรคทายกชวนแวะดูฟอสซิลหอยล้านปีซึ่งฝังอยู่ในก้อนหินริมลำห้วยเล็กๆข้างทาง ตรงจุดนี้ผมเห็นฟอสซิลหอยดังกล่าวพอควร ส่วนที่เห็นชัดและอยู่ตื้น คนคงมาเจอและงัดกันไปหมดแล้ว เลยอดที่จะเก็บมาไว้เป็นที่ระลึก
ที่บ้าน ผมมานั่งนึกถึงฟอสซิลที่ผมมีติดไม้ติดมือมาบ้างจากวันนั้น ผมก็ยังคงเก็บมันไว้อยู่ แม้เศษชิ้นส่วนเครื่องประดับโบราณที่ท่านเจ้าอาวาสวัดแบ่งให้มาด้วยความเมตตา ผมก็ยังเก็บมันไว้ อันจะเป็นอนุสรณ์ให้ได้ระลึกถึงการที่ผมได้ไปพบเจอ “ฟอสซิล” มากมาย และวันที่ผมกับครอบครัวมีโอกาสได้ไปสร้างบุญทอดกฐินที่วัด เพื่อเป็นแม้ส่วนเสี้ยวหนึ่งของการช่วยสืบต่อพระศาสนาของ”พระตถาคต”ให้ยั่งยืนต่อไป คิดแล้วผมก็ยังอิ่มใจอยู่จนถึงทุกวันนี้...
Admin. 19 สิงหาคม 2556